กต.เผยความคืบหน้าเหตุการณ์ไม่สงบในอิสลาเอล สถานเอกอัครราชทูตประกาศเตือนคนไทยในอิสราเอลเพิ่มความระมัดระวัง พร้อมจัดบินพิเศษเพื่อนำคนไทยกลับประเทศ
นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยความคืบหน้ากรณีเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศอิสราเอล และผลกระทบต่อคนไทยในอิสราเอล ว่า กระทรวงการต่างประเทศ ได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ว่า เหตุความไม่สงบที่ดำเนินมาตั้งแต่ช่วงกลางเดือนเมษายน 2564 เริ่มจากเหตุการณ์ในนครเยรูซาเล็ม ต่อมาได้ขยายวงออกไปยังพื้นที่ตามเมืองต่าง ๆ ของอิสราเอล รวมทั้งเกิดเหตุโจมตีด้วยจรวดจากฉนวนกาซา และระหว่างวันที่ 9-10 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุโจมตีด้วยจรวดและบอลลูนติดวัตถุระเบิดจากฉนวนกาซา และเหตุปะทะอย่างรุนแรงระหว่างชาวปาเลสไตน์และตำรวจอิสราเอลในนครเยรูซาเล็มอีกครั้ง ซึ่งมีการคาดการณ์ว่า เหตุความตึงเครียดจะดำเนินต่อไปอีก เนื่องจากมีวันเทศกาลสำคัญทางศาสนาและการเมืองที่อาจเป็นชนวนเหตุความไม่สงบอย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้
ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ได้ประกาศแนะนำให้คนไทยในอิสราเอลเพิ่มความระมัดระวัง ติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามคำแนะนำของทางการอิสราเอลอย่างเคร่งครัด รวมทั้งหลีกเลี่ยงการเดินทางไปสถานที่ชุมนุม นอกจากนั้น ยังได้ประสานกับแรงงานไทยในพื้นที่ต่าง ๆ ที่มีเหตุการณ์ความไม่สงบ ซึ่งล่าสุดทราบว่า มีคนไทยได้รับบาดเจ็บหนึ่งรายจากเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งทางสถานเอกอัครราชทูตฯ กำลังดูแลและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ในส่วนของการจัดเที่ยวบินพิเศษเพื่อนำคนไทยกลับประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ได้จัดเที่ยวบินโดยมีคนไทยเดินทางกลับ จำนวน 222 คน ซึ่งผู้โดยสารทุกคนมีผลการตรวจว่าปลอดเชื้อโควิด ก่อนเดินทาง 72 ชม. และจะเข้ารับการกักตัวตามหลักเกณฑ์ที่ทางการไทยกำหนด โดยนับตั้งแต่มีสถานการณ์โควิด สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้จัดเที่ยวบินพิเศษรวม 13 ครั้ง ส่งคนไทยกลับประเทศแล้วจำนวน 2,827 คน และจะดำเนินการจัดเที่ยวบินพิเศษอย่างต่อเนื่องต่อไป
ส่วนเหตุคนร้ายบุกกราดยิงโรงเรียนในเมืองคาซาน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัสเซีย ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 9 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิงอีก 21 คน โดยในเบื้องต้น สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมอสโก รายงานว่า ไม่มีคนไทยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวเช่นกัน
กต. แจงการระงับการเดินทางเข้าไทยของชาวต่างชาติ 3 ประเทศ ยัน ปฏิบัติตามมติที่ประชุม ศปก.ศบค.
นายธานี แสงรัตน์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เผยว่า ตามที่มีการสอบถามจากสื่อมวลชนเกี่ยวกับการระงับการเดินทางเข้าประเทศไทยของชาวต่างชาติจาก 3 ประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้นั้น ขอชี้แจงดังนี้
โดยที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19หรือ ศปก.ศบค. เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 64 ได้หารือเกี่ยวกับกรณีการพบเชื้อกลายพันธุ์ที่พบครั้งแรกที่อินเดียในผู้เดินทางจากปากีสถาน และได้มีมติขอให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาระงับการออกหนังสือรับรองการเดินทางเข้าประเทศไทย หรือ COE สำหรับชาวต่างชาติที่มีต้นทางหรือมีถิ่นพำนักจากประเทศที่พบเชื้อกลายพันธุ์ที่พบครั้งแรกที่อินเดีย โดยกระทรวงการต่างประเทศได้ปฏิบัติตามมติที่ประชุม ศปก.ศบค. โดยได้สั่งการให้สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ระงับการออก COE และการตรวจลงตราสำหรับชาวต่างชาติที่มีต้นทางหรือมีถิ่นพำนักในปากีสถาน บังกลาเทศ และเนปาล ตั้งแต่วันที่ 10 พ.ค.64 เพิ่มเติมจากอินเดียที่มีประกาศก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ ชาวต่างชาติที่เดินทางออกจาก 4 ประเทศข้างต้นและเปลี่ยนเครื่องในประเทศอื่น หรือไปท่องเที่ยวหรือผ่านทางไปยัง 4 ประเทศข้างต้น จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศไทยเช่นกัน โดยมาตรการดังกล่าวถือเป็นมาตรการชั่วคราวในช่วงที่ต้องระวังเชื้อกลายพันธุ์นี้เข้าสู่และแพร่ระบาดในประเทศไทย เป็นมาตรการสำหรับชาวต่างชาติทุกสัญชาติจาก 4 ประเทศดังกล่าว แต่ไม่ได้ห้ามคนไทยแต่อย่างใด คนไทยรวมถึงนักการทูตต่างชาติที่มีจุดประสงค์เพื่อปฏิบัติงานและมีครอบครัว ตลอดจนผู้ที่มีถิ่นพำนักถาวรในประเทศไทย สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ แต่จะต้องปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดโดยเข้ารับการกักตัวเป็นเวลา 14 วัน
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news