Home
|
บันเทิงไทย

“ไอซ์” ควงสามี เปิดใจครั้งแรกหลังสูญเสียคุณพ่อ “ค่อม ชวนชื่น”

Featured Image

ไอซ์ ณพัชรินทร์ ควง สามี แบงค์ อธิกิตติ์  พร้อมเคลียร์ดราม่า เปิดใจครั้งแรก หลังสูญเสียคุณพ่อ “ค่อม ชวนชื่น”

เปิดใจครั้งแรก “ไอซ์” ณพัชรินทร์ และ “แบงค์” อธิกิตติ์  ลูกสาวและลูกเขยของค่อมชวนชื่น เผยความรู้สึกวินาทีที่สูญเสียคุณพ่อด้วย โควิด-19 และขอเคลียร์ประเด็นดราม่าทุกประเด็น พร้อมซัดข้อกล่าวหาเกาะพ่อค่อมกิน ในรายการ “คุยแซ่บSHOW”  ที่มี  “พีเค” ปิยะวัฒน์  และ บูม สุภาพร เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

น้าค่อมจากไปเดือนกว่าแล้ว ตอนนี้ที่บ้านเป็นอย่างไรบ้าง
ไอซ์ : คุณแม่ยังมีทุกข์อยู่ แต่เราเห็นว่าคุณแม่พยายามทำตัวเองให้เข้มแข็ง ส่วนไอซ์เองก็พยายามทำตัวให้เข้มแข็ง เพราะแม่ต้องพึ่งเรา ถ้าเราอ่อนแอ แม่ก็จะอ่อนแอตามเราไปด้วย
แบงค์  : ทั้งไอซ์และแม่เอ๋เป็นผู้หญิงที่ผมรู้สึกว่าเขาเข้มแข็งมาก อาจจะเป็นเพราะรอบๆ ตัวเขามีลูกหลานอยู่ด้วย และตัวเขาก็เป็นคนเข้มแข็งด้วย คือทุกวันนี้ดูเหมือนปกติ เหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นร้ายแรง แต่ถ้าพูดถึง ไอซ์ก็จะมีเสียงเครือ คือก็มีบางจังหวะ บางทีที่เรายังนึกถึง ในทีวีในโซเชียลต่างๆ ที่เรายังเห็นเรื่องราวของเขาก็ทำให้เราคิดถึงในทุกๆ วัน แม้มันจะผ่านไปเป็นปี ผมก็คิดว่าทุกคนก็ยังคิดถึงอยู่

ต้องดูแลความรู้สึกคุณแม่ด้วย ดูแลน้องด้วยยากไหม
แบงค์  : ผมว่า 2 คนนี้เข้มแข็งอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเราต้องไปดูแลอะไรเขา เพราะตัวเขาเองก็ดูแลตังเองดีมากอยู่แล้ว ผมแค่รู้สึกว่าเราไม่ต้องมานั่งปลอบกันเยอะ แค่พูดครั้งเดียวเขาก็เข้มแข็ง ปกติเขาจะไม่ค่อยร้องไห้ให้ใครเห็น ขนาดผมที่เป็นสามีอยู่บ้านเดียวกัน ยังน้อยมากที่จะเห็นเขาร้องไห้ คือผมเห็นเขาร้องไห้ครั้งเดียวคือวันเผาคุณพ่อ  แค่ผมพูดว่า อย่าร้องไห้นะ อย่าทำให้พ่อเป็นห่วงนะ หลังจากนั้นเขาก็เข้มแข็งขึ้นมาก ผมไม่เคยเห็นเขาร้องไห้ต่อหน้าผมอีกเลย ฟ
ไอซ์ : คือเรามีทั้งลูกทั้งน้อง บ้านเราจะสนิทกันเวลาเราจะต้องดูแลความรู้สึกเราก็ต้องดูแลทั้งหมด

ตอนนั้น 12 เม.ย. ติดเชื้อโควิดวันที่ 13 เม.ย. น้าค่อมเข้าโรงพยาบาล ตอนนั้นเป็นอย่างไร
ไอซ์ : คือไอซ์จะอยู่คนละบ้านกับคุณพ่อ วันนั้นก็จะมีคุณแม่ถ้าได้เห็นคลิปก็จะเป็นคุณแม่ถ่าย น้องถ่าย ก่อนที่คุณพ่อจะเข้าโรงพยาบาล วันที่ 13 เม.ย. ก็ส่งคุณพ่อกัน ซึ่งในถุงก็จะมีอาหารที่คุณพ่อชอบทาน เขาก็ยังดูปกติ คุยกันปกติสนุกสนาน พอหลังเข้าโรงพยาบาลเราก็จะไม่ได้ติดต่อกัน เพราะปกติคุณพ่อจะไม่เล่นโซเชียล เขาไม่มีไลน์ ไม่มีช่องทางโซเชียลเลย แต่เราได้สอนให้เขาเล่นเฟสไทม์ ไอซ์ก็เลยได้เฟสไทม์หาเขาตอนที่เขาถึงโรงพยาบาล ซึ่งเขาก็ยังคุยกับเราสบายดี ว่าได้ห้องแล้ว ห้องโอเคไม่ต้องห่วง ดูแม่ไป ดูน้องไป ตอนนั้นเราก็ห่วงเขามากเพราะเขามีโรคประจำตัว เราไม่คิดเลยว่าผลจะร้ายแรง เพราะเราจะคุยกันทั้งวัน ซึ่งคุณพ่อจะบอกว่า พ่อไม่เป็นอะไร แต่เราจะกังวลเรื่องปอดของเขา แต่คุณพ่อไอซ์เป็นคนไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เราก็เลยคิดตื้นๆ ว่าปอดเขาไม่น่าจะเป็นปัญหา เราก็ยังหวังว่าเดี๋ยวพ่อก็หาย แต่มันเกิดเหตุการณ์ว่าปอดของคุณพ่อมีปัญหา เราก็ทำอะไรไม่ถูก

วันสุดท้ายที่ไอซ์ได้เจอน้าค่อมคือวันไหน
ไอซ์ : ไอซ์เจอคุณพ่อวันที่เราไปตรวจโควิดกัน วันที่ 11 เม.ย. 12 เม.ย. ผลออก 13 เม.ย. รถโรงพยาบาลมารับ คือวันที่ 11 เรายังมีถ่ายคลิปร่วมกันอยู่เลยว่าเราไปตรวจโควิดกัน แล้วหลังจากนั้นเราก็ยังเฟสไทม์คุยกับเขา เราได้คุย เราได้อยู่ อาการคุณพ่อปกติเลย ดูไม่มีอาการอะไรเลย คือคุณพ่อจะเป็นโรคเบาหวาน เป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบ และเป็นความดัน ซึ่งคุณหมอก็เป็นคุณหมอที่ดูแลเขา เขาก็เลยรู้สึกโล่งใจที่อยู่ใกล้หมอที่ดูแลเขาตลอด  ส่วนที่ต้องย้ายโรงพยาบาล เพราะที่โรงพยาบาลแรกคุณพ่อเกิดอาการฝ้าที่ปอดหนา
แบงค์  : ตรงนี้เป็นเรื่องของเครื่องมือ เพราะแต่โรงพยาบาลที่มีเครื่องมือไม่เหมือนกัน อย่างโรงพยาบาลที่เราไปหาอาจจะเป็นโรงพยาบาลขั้น ปฐมภูมิ คือเป็นโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือรักษาระดับประมาณหนึ่ง พอเป็นทุติยภูมิก็จะมีเครื่องมือที่ทันสมัยมากขึ้น ซึ่งมันจะส่งต่อโรงพยาบาลกันไป คือตอนแรกที่ย้ายโรงพยาบาลเราก็ยังงงกันอยู่ เพราะคุณพ่อดูปกติมากๆ ไม่มีอาการใดๆ แต่พอเข้าโรงพยาบาล 2 ต้องเข้าไอซียูเลย

ทราบว่าพอย้ายโรงพยาบาลน้าค่อมเริ่มดื้อ
ไอซ์ : ใช่ เพราะโรงพยาบาลสอง
แบงค์  :คือโรงพยาบาลแรกเครื่องมืออาจจะน้อย นอนอยู่บนเตียง กินยา ให้น้ำเกลือ แต่พอเข้าโรงพยาบาลสองก็เริ่มมีขั้นตอนใส่สายยาง ใส่ท่อต่างๆ  แล้วแกเป็นคนขี้รำคาญ ที่สำคัญที่แกงอแงคือคนปกติถ้าต้องไปนอนโรงพยาบาลเป็น 10 วัน ก็คงนั่งเล่นมือถือดูโซเชียล แต่เนื่องจากคุณพ่อไม่เล่นมือถือ แล้วห้องในโรงพยาบาลไม่มีโทรทัศน์ให้ดู คือผมเข้าใจเลยว่าแกคงเบื่อ

อะไรที่ทำให้แกเปลี่ยน
ไอซ์ : ช่วงที่คุณพ่องอแง วันสองวันแรกก็จะเป็นช่วงที่เรายังคุยกับท่านได้อยู่ ซึ่งเป็นช่วงที่ประจวบเหมาะกับที่ครบ 7 วันที่เราไปตรวจโควิดอีกรอบ ผลโควิดออกมาคือคุณแม่ติด เราก็พาคุณแม่เข้าโรงพยาบาลเดียวกับคุณพ่อ เราก็บอกว่าคุณพ่ออย่าดื้อนะ ให้กินยานะ เพราะแม่อยู่ที่เดียวกับพ่อ ตอนที่พ่อทราบพ่อนิ่งไปเลย คือเวลามีอะไรไม่โอเคคุณพ่อจะนิ่งเราก็รู้เลยว่าท่านคงตกใจเหมือนกัน แล้ววิธีที่ดีที่สุดของเราก็คือให้คุณพ่อ คุณแม่คุยกันเอง

แล้วอาการน้าค่อมตอนนั้นเป็นอย่างไร
แบงค์  : คือตอนนั้นเริ่มมีอาการปอดแฟ่บ มันทำให้ออกซิเจนที่เข้าไปในร่างกายมันน้อยลง เลยต้องเปลี่ยนท่านอนเป็นนอนคว่ำ ก็จะทรมานกว่าปกติ แล้วคุณหมอไม่เคยพูดว่าอาการดีขึ้นเลย มีแต่อาการทรงตัว พอผมรับโทรศัพท์คุณหมอเราก็ลุ้นมากๆ ต้องลุ้นว่าวันนี้อาการคุณพ่อจะดีขึ้นไหม แต่จะได้รับคำตอบว่าอาการทรงตัวในทุกๆ วัน หลายๆ คนอาจจะตกใจ เพราะเราไม่ได้อัพอาการแบบเรียลไทม์ทุกวัน คือเราต้องบอกก่อนว่าอาการแกไม่ดีขึ้นเลยตั้งแต่ย้ายไปโรงพยาบาลที่สอง
ไอซ์ : พอเราโทรหาเขา เรารู้สึกได้เลยว่าพ่อเราก็จะผอมลงๆ ๆ เราก็จะจิตใจสั่นคลอนนิดหนึ่ง คือพอพ่อเริ่มคว่ำตัวเราก็ได้คุยกับแกแค่วันเดียว เราก็บอกแกว่า พ่อสู้ๆ นะ พ่อก็บอกเราว่า พ่อไม่ไหวแล้ว (ร้องไห้)

พอนอนคว่ำแล้วมีโอกาสรอดหรือกลับมาใช้ชีวิตอย่างเดิมได้ไหม
แบงค์  : จริงๆ เรื่องการนอนคว่ำ เป็นการรักษาปกติที่ไม่ถึงขั้นรุนแรง อย่างที่ถามว่าถ้านอนคว่ำแล้วมีสิทธิ์กลับมาปกติมีสิทธิ์ แต่อาจจะเป็นความโชคร้ายของคุณพ่อ เพราะท่านไม่ได้มีอาการที่ปอดอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องไตและตับที่ตามมา ทำให้อาการเยอะขึ้น
ไอซ์ : คือทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมาก คุณหมอพยายามมากแล้วแต่ร่างกายแกคงไม่ไหว คือปกติไอซ์จะให้แบงค์คุยกับท่านเพราะผู้ชายก็จะเข้มแข็งกว่า และเราก็ไม่อยากไปร้องไห้ให้ท่านเห็น พอวันที่เขาพูดว่าพ่อไม่ไหวแล้ว ไอซ์ลุกเข้าไปร้องไห้ในห้องน้ำแป๊บเดียว แล้วกลับมาบอกพ่อว่า พ่อสู้ๆ สิเพราะทุกคนรอพ่ออยู่ คือเราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เราพูดมันช่วยท่านได้แค่ไหนแต่เราก็พยายามเชียร์ให้ท่านสู้ต่อ

แล้วที่ออกมาขอความช่วยเหลือเป็นตอนไหน
แบงค์  : คือต้องบอกก่อนว่า ในโรงพยาบาลที่สองเราคุณกับคุณหมอตลอด ด้วยความที่เป็นโรคใหม่มากๆ เราก็อยากรู้ว่าต่อไปจะรักษาอย่างไรต่อ  ซึ่งคุณหมอที่โรงพยาบาลก็บอกว่าการรักษาก็ตามมาตราฐาน มันมีเท่านี้ ซึ่งมันหมายความว่ามันไม่มีขั้นตอนต่อไปแล้ว แต่อาการของพ่อมันไม่ได้ดีขึ้น ผมก็เลยอัดคลิปเพราะรู้สึกว่า  คงจะมีหมอสักคนที่รู้วิธีรักษาเพราะตอนนั้นมันไม่มีวิธีรักษาแล้ว
ไอซ์ : คือตอนนั้นมันตันไปหมดแล้ว เราเป็นลูกเราก็ทำได้แค่นี้ เราก็ขอความช่วยเหลือเพื่อพ่อของเรา

จากโรงพยาบาลสอง ย้ายมาโรงพยาบาลที่สามตอนนั้นใครตัดสินใจ
แบงค์  : คือเราคุยกับคุณหมอตลอด อย่างที่ผมอธิบายตอนแรกว่าโรงพยาบาลปฐมภูมิที่เรารักษาเขชาไม่มีเครื่องมือตัวนี้เราก็เลยย้ายมาโรงพยายบาลที่สอง พอโรงพยาบาลที่สองไม่มีเครื่องมืออีกตัวหนึ่งเราก็ต้องย้ายโรงพยาบาลซี่งเป็นขั้นตอนปกติ เราก็ได้คุยกับคุณหมอว่า เราสามารถทำทรานเฟอร์ไปโรงพยาบาลอื่นได้ไหม ณ ตอนนั้นกว่าจะย้ายได้เราทำเรื่องเป็นอาทิตย์เพราะเราทำเรื่องไปหลายโรงพยาบาลมาก แต่ไม่มีที่ไหนมีเตียงเลย ซึ่งเป็นจังหวะที่บีบหัวใจมาก ซี่งคุณหมอบอกว่ามันมีเครื่องอยู่ตัวหนึ่งชื่อเครื่องเอ็กซ์โม่ มันเป็นเครื่องที่จะอยู่ในโรงพยาบาลที่เป็นของรัฐที่ใหญ่ๆ อย่างรามา ศิริราช จุฬา ซึ่งทั้ง 3 โรงพยาบาลเตียงแน่นมากๆ ไม่สามารถจริงๆ จนสุดท้าย เรามาได้โรงพยาบาลรามาจักรีนฤบดินทร์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่อยู่สมุทรปราการ

เคลียร์ข่าวเรื่องที่เป็นดาราเลยใช้เส้นสาย
ไอซ์ : ไอซ์ทำตามระเบียบการรีเฟอร์คุณพ่อทุกขั้นตอน ก่อนหน้านี้ ขออีกโรงพยาบาลหนึ่งไป ขอไปหลายวันก็ไม่ได้ ไอซ์ก็เลยมาอัดคลิปขอความช่วยเหลือ ก็มีคนส่งข้อมูลมาให้เราเยอะมาก ไอซ์ก็ขอบคุณ แต่มันก็ไม่ได้เหมือนเดิม ซึ่งไอซ์ก็ต้องรอให้โรงพยาบาลอื่นตอบรับกลับมา
แบงค์  : ก็ต้องขอบคุณโรงพยาบาลวิภารามด้วยที่ช่วยพวกเรา ในการหาโรงพยาบาลในการรีเฟอร์ต่อไปเพื่อที่จะได้ใช้เครื่องเอ็กซ์โม่
พอได้โรงพยาบาลสามแล้วเป็นอย่างไร
แบงค์  : ตอนนั้นแกอยู่ในภาวะไม่รู้ตัวแล้ว ไม่ใช้ด้วยร่างกายแกเอง แต่เป็นเพราะคุณหมอให้ยาเพื่อให้ร่างกายแกได้พักผ่อน เพื่อที่จะให้ออกซิเจนในเลือดและในปอดฟื้นฟูได้เร็วที่สุด คือเราย้ายเพื่อที่จะได้ใช้เครื่องเอ็กซ์โม่ แต่พอคุณพ่อไปถึงอวัยวะต่างๆ ของท่านก็แย่ไปหลายอวัยวะแล้ว ซึ่งคุณหมอก็ลงความเห็นว่า ถึงใช้เครื่องไปก็ไม่ช่วยแล้ว

ตอนย้ายโรงพยาบาลเรามีความหวังแค่ไหน
ไอซ์ : คือไอซ์หวังมาตลอด หวังให้อาการที่ไม่ดีกลับมาดีเหมือนเดิม หวังตลอด หวังทุกวัน ถ้าเราไม่หวังก็เหมือนเรายอมแพ้
แบงค์  : ต้องบอกก่อนว่าเราไม่เคยยอมแพ้เลยแม้แต่วันเดียว เราไม่เคยนั่งเฉยๆ ไม่เคยนั่งรอให้อาการมันดีขึ้น เราพยายามคุยกับคุณหมอตลอด พยายามหาข้อมูล

ที่โรงพยาบาลที่สามมีคำหนึ่งที่คุณหมอพูดแล้วทำเอาลูกๆ เข่าทรุดเลย
ไอซ์ : คือคุณหมอพูดว่าจะปั๊มหรือไม่ปั้ม
แบงค์  : คือพอย้ายไปโรงพยาบาลที่สามอวัยวะต่างๆ ก็ค่อนข้างแย่ ล้มเหลวไปหลายอวัยวะไม่ว่าจะเป็นปอด ไต ตับ ซึ่งคุณหมอบอกว่าณ ตอนนั้นเหลือแค่หัวใจอย่างเดียว ซึ่งเราก็ทำใจระดับหนึ่งว่าคุณหมอต้องถามคำถามนี้ จนวันหนึ่งคุณหมอก็ถามเราว่าถ้าถึงจุดที่หัวใจมันไม่ไหวแล้วเราจะปั้มหรือไม่ปั้มหัวใจขึ้นมาไหม
ไอซ์ : คือเราก็ 50/50 คือใจอยากให้ปั๊มมาก แต่ว่าคิดกลับกัน เราปั๊มเขาฟื้น เราสบายใจ แต่เขาไม่เหมือนเดิม คนที่ทุกข์ทรมาณก็คือเขา อาจจะต้องนอนติดเตียงซึ่งทรมาณหนักกว่าเดิมสำหรับเขา กับการที่เราไม่ปั้ม มันบอกไม่ถูกเลย มันตื้อไปหมด แล้วเราก็ปรึกษากับทางบ้านซึ่งทุกคนก็บอกว่าไม่ปั๋มดีกว่า
แบงค์  : คือมีคำตอบหนึ่งที่คุณหมอบอกกับเราว่า คุณหมอไม่การันตีเลยว่า ปั๊บแล้ว คุณพ่อจะฟื้นขึ้นมาอีก ไม่ใช่ปั๊มแล้วหัวใจจะกลับมา

ตอนนั้นใครเป็นคนบอกแม่
แบงค์  : เราก็โทรคุยกันว่าจะทำอย่างไรดี ซึ่งคุณแม่ก็ค่อนข้างเคารพการตัดสินใจของพวกเรา เพราะมันไม่ใช่แค่ผมและไอซ์ แต่ยังมีน้องชายอีก 2 คน ที่จะคุยกันเองว่าเหตุการณ์เป็นประมาณไหน  ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่บีบหัวใจที่สุดในชีวิต เพราะเหตุการณ์มันไปในทิศทางที่แย่ลง  แต่ที่น่าสงสารยิ่งกว่านั้นคือ แม่เอ๋อยู่โรงพยาบาล ไม่สามารถไปดูพ่อ หรือมาหาลูกได้ ไม่สามารถมากอดกันเพื่อให้เรื่องเหล่านี้ผ่านพ้นไปด้วยดี คือมันทำตัวไม่ถูกจริงๆ เราไม่รู้ว่าจะต้องปลอบเขาอย่างไร เพื่อให้ทุกอย่างมันผ่านไป
ไอซ์ : ตอนนั้นถามว่าหวงแม่ขนาดไหน เราห่วงมาก ไม่เคยนอนหลับเลย

นาทีที่คุณพ่อบอกว่าน้าค่อมได้จากไปตอนนั้นกี่โมง
ไอซ์ : คือก่อนคุณพ่อจะเสีย โรงพยาบาลจะโทรมาเป็นสเต็ป โทรมาเที่ยงคืน ตีสอง
แบงค์  : ประมาณเที่ยงคืนก็จะมีคุณหมอที่ดูแลคุณพ่อมาอัพเดทว่าจากเราคุยกัน ว่าจะไม่ปั๊บหัวใจ ดังนั้นอาการหัวใจตอนนี้จากร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เหลือแค่ 20-30 เปอร์เซ็นต์ ก็ค่อนข้างแย่แล้ว คุณหมอบกว่าถ้าผ่านไปได้ก็ผ่านไป แต่ถ้าผ่านไม่ได้ก็อาการก็น่าจะหนักขึ้น สุดท้ายพวกเราก็พยายามจะนอน แต่ก็ไม่ได้นอนกัน เพราะช่วงตี 4 ทางโรงพยาบาลก็โทรเข้ามา ณ เวลานั้นมันไม่มีใครมาอัพเดทเรื่องดีๆ หรอก คุณหมอก็บอกว่าคนไข้ไปแล้วนะครับ ถามว่าผมบอกไอซ์อย่างไร ผมว่าไอซ์รู้อยู่แล้วเพราะเขาอยู่ข้างเรา

พอทราบข่าวคุณพ่อเสียวันรุ่งขึ้นต้องทำอะไรบ้าง
ไอซ์ : ไอซ์ทำอะไรไม่เป็นเลย แต่เราก็ต้องทำเพราะเหลืออยู่แค่ 2 คน เพราะน้องชายก็ต้องกักตัว คุณแม่ก็ติดโควิด เราก็จับมือกันแล้วก็ไปโรงพยาบาล  ซึ่งบุคคลากรที่โรงพยาบาลรามาก็น่ารักมาก พาเราไปทำตามสเต็ปทุกขึ้นตอน ก็ถือว่าผ่านไปได้ด้วยดี ซึ่งมันทรมานมาก

แล้วงานศพช่วงนั้นจัดอย่างไร
แบงค์  : เขาห้ามคนมาร่วมงานเกิน 20 คน เราก็ต้องเอาคนที่สะดวกจริงๆ และคนต้องไม่เกินแล้วก็ต้องจัดการเท่าที่จะทำได้ เพราะว่ามันไวมาก ผมแจ้งใครก็ไม่ทัน
ไอซ์ : ตอนที่เผาศพเราก็มีวิดีโอคอลให้คนในครอบครัวดู ให้น้าๆ ทำ เพื่อส่งคุณพ่อ

แล้วเรารู้ว่าคุณแม่ดีขึ้นเมื่อไหร่
ไอซ์ : หลังจากที่คุณพ่อเสียเราก็โฟกัสคุณแม่เต็มที่ เพราะเขาทุกข์มาก คือเขาอยู่ด้วยกันมานานมาก เราก็ไม่รู้ว่าเขาจะอยู่อย่างไร เราก็ไม่กล้าโทรเท่าไหร่ก็จะให้น้องๆ ผลัดกันโทรหาคุณแม่ ลูกสาวก็จะโทรหาคุณยาย คอยให้กำลังใจ เพราะตอนนี้เรามีกันอยู่แค่นี้ คือเราก็ต้องดูแลเต็มที่ ไม่ปล่อย
แบงค์  : เพราะคุณแม่เคยติดโควิดแล้วสามารถเป็นได้อีกไหม คือสามารถเป็นได้อีก คือมันไม่มีอะไรที่จะปลอดภัย ก็พยายามดูแลกันทุกคน อย่างทุกวันนี้ไปหาคุณแม่ที่บ้านตัวผมเองก็ต้องยังต้องใส่แมสตลอด เข้าไปในบ้านต้องใส่แมสตลอดเพราะเราไม่รู้ว่า เราจะพาโรคบ้านี่ไปหาท่านหรือเปล่า  ซึ่งคุณแม่ก็รักษาตัวที่โรงพยาบาล 14 วัน ก็กลับมาบ้านได้

มีกระแสดราม่าเรื่องเกาะคุณพ่อค่อมกิน เห็นแบบนี้รู้สึกอย่างไร
ไอซ์ : คือพ่อเสียแล้วทำไมต้องขยี้กันอีก มาซ้ำกันอีก ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรเพราะเราก็ไม่ได้ตอบ แต่พอมีหนึ่งคนจุดประเด็นมา ว่าพ่อเสียแล้วจะเอาเงินที่ไหนใช้ ให้คุณแม่ใช้เงินระวังๆ นะ ระวังเงินกงสีหมด คือมาว่าเราเรื่องนี้ เราก็เลยรู้สึกว่าทำไมยังคิดว่าเรายังเกาะพ่อเกาะแม่กินอยู่ คือคนที่แต่งงานแล้ว มีลูกมีสามีแล้ว ก็ต้องทำมาหากินได้ในระดับหนึ่งแล้วหรือเปล่า  แต่เราก็ไม่ได้ตอบอะไร

อยากบอกอะไรกับคนที่คิดแบบนั้น
ไอซ์ : อยากบอกว่าอย่าตัดสินคนด้วยอารมณ์ชั่ววูบ การที่เราโตมาได้ขนาดนี้ เรากล้าที่จะแต่งงานมีคู่ครองขนาดนี้ เราต้องทำมาหากินเลี้ยงตัวเองได้อยู่แล้ว คงไม่มีใครเอาสามีตัวเองไปให้พ่อแม่เลี้ยงหรอก คือไอซ์มีร้านอาหารแต่ตอนนี้มีปัญหาเรื่องโควิดอยู่ นอกจากนี้เราก็ยังมีขายเสื้อผ้ามีขายเครื่องประดับกับเพื่อน แล้วก็มีทำช่องยูทูบของตัวเอง คือถ้าไอซ์อยู่บ้านไอซ์ว่างไอซ์ทำหมดเพราะเป็นคนที่ว่างไม่ได้ ถ้าว่างแล้วต้องหาโน่นหานี่ทำตลอด  ส่วนร้านจะกลับมาเปิดเมื่อไหร่ก็ยังบอกไม่ได้ เพราะมีโควิดเข้ามาก็มีเรื่องค่าใช้จ่ายโน่นนี่นั่น ตอนนี้อยู่ระหว่างการตัดสินใจกับหุ้นส่วนทุกๆ คนอยู่
แบงค์ : อยากให้ใจเย็นๆ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นมาด้วยเหตุและผลของมัน อยากให้ทุกคนคอมเม้นต์ใจเย็นๆ นิดหนึ่ง และเข้าใจภรรยาและที่บ้านผมนิดหนึ่ง เพราะที่บ้านก็เพิ่งผ่านเรื่องร้ายๆ มา

เจอดราม่าหนักๆ ให้กำลังใจกันอย่างไร
ไอซ์ : ถ้าเจอหนักๆ ไอซ์ก็จะวิ่งไปหาสามีเพราะว่าเขาจะสอนเราให้เราใจเย็นๆ ให้มองผ่าน เพราะแบงค์เขาจะเป็นคนที่ ไม่อยากให้เราปรี๊ดไม่มีสติ เขาก็จะพยายามสอนเราว่าค่อยๆ ใช้ความคิด ใจเย็นๆ ไม่อยากให้เราโผงผางเพราะมันจะไม่ดีกับตัวเรา
แบงค์ : อะไรไม่โอเคเราก็แค่ก้าวผ่านมันไปดีกว่า ไม่อย่างนั้นอะไรที่ไม่ดีก็จะติดตัวเราไป ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันมีเหตุมีผล ทำแบบนี้นะถ้าเกิดอะไรขึ้น

ถ้ามีพรวิเศษอยากกลับไปแก้ไขอะไร
ไอซ์ : ไม่แก้เลย เพราะตั้งแต่ต้นยันจบ ไอซ์ใช้สติดีแล้วในทุกๆ เรื่อง
แบงค์ : สำหรับผมคือเราคุยกันตลอด ที่ผ่านมาพอนึกย้อนกลับไปไม่เคยเสียใจอะไรเลย เพราะเราคุยกัน และผ่านการติด การกลั่นกรองที่ดีและรอบคอบแล้ว ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นเราก็ไม่ต้องเสียใจกับมันแค่นั้น

ติดตามชมคำสัมภาษณ์แบบเต็มๆ ได้ในรายการ “คุยแซ่บShow”  ทุกวันจันทร์-วันศุกร์  เวลา13.40-14.40 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama

คลิปสัมภาษณ์  ไอซ์ – แบงค์

https://youtu.be/3-krS6ueKn0

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

 

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube