หมอไม่ทน-วัคซีนไม่ทัน
@ในความประเดประดังสถานการณ์ “หน้าสิ่วหน้าขวาน” แบบในระยะ “นายกฯลุงตู่” กำลังถูกจับจ้องพิสูจน์ทราบในฐานะ “นายกรัฐมนตรี”ที่บริหารแบบ“ซิงเกิ้ลคอมมานด์” ยามประชาชนมีภัยกับการ เทคแอ็คชั่นปัญหา หน้างาน ได้ฉับพลันอย่างมีแผนชัดจับต้องได้แบบพร้อม “รับผิดชอบ” ดังอุบัติภัยสารเคมีจากเหตุ“ระเบิดโรงงานกิ่งแก้ว”เมื่อวาน(5ก.ค.)ที่กินรัศมีอันตรายต้องอพยพผู้คนในวง5กิโลเมตรจากโรงงานออกจากพื้นที่ ที่เกิดภาพประจักษ์ถึง “จุดอ่อน”มากมายที่ทำให้ผู้คน“แพนิก”
จากการบริหารจัดการสั่งการจากส่วนบนลงล่างแบบมี “องค์ความรู้” ไม่ว่าจะเป็นมิติการสั่งการทำ “ฝนเทียม”จาก“นายกฯลุงตู่”ก่อนยกเลิก เพราะโดนทักว่าจะยิ่งไปกันใหญ่ หรือ การไม่เห็น“นักการเมืองท้องถิ่น”อย่าง“นายกฯตู่หญิง”ไปดูหน้างาน แต่เห็น“ผู้กองนัส”รมช.เกษตรฯไม่ใช่“บิ๊กป๊อก”มท.1เป็นตัวแทนรัฐบาล ไปปรากฏตัวบัญชาการและขอบคุณเจ้าหน้าที่อาสมัครดับเพลิง กลางดึกที่สถานการณ์เริ่มคลาย หรือประเด็นใน มิติระบบราชการ กรณีไม่ย้ายคนงานกว่าร้อยคนจากแคมป์คนงานที่ถูกปิดซีลซึ่งอยู่ในรัศมีอันตราย 4 กิโลเมตร เพราะมีคำสั่งปิดแคมป์กัน “โควิดกลายพันธุ์”เป็น“เดลต้า”กระจายกรุงเทพปริมณฑล ของศบค.คาอยู่
@โดยคำสั่งแคมป์คนงานกรณีโควิด เป็นคำสั่งศบค.จากนายกฯที่มาพร้อมอีกคำสั่ง ล็อคการนั่งกินร้านอาหาร ตอนตี1 ที่ส่งผลเกิดปฏิกริยาไม่พอใจก่อ “อารยะขัดคืน” จากบรรดาร้านอาหารก่อเป็นม็อบขึ้นมาย่อยๆ แบบมี ม็อบการเมือง “ไทยไม่ทน” ของตู่จตุพร และ ทนายนกเขา คอยผสมโรงตั้งแต่ 2 สัปดาห์ก่อน ในขณะตอนนั้นยังมีการยืนยันคิวเปิด “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” ที่นับแต่นั้นจนมาถึงวันนี้(6ก.ค.)ยังคง ปรากฏตัวเลขผู้ติดเชื้อในระดับ5-6พันไม่นับรวมยอดเสียชีวิตระดับ 40-60 มิหนำซ้ำเมื่อแยกแยะสายพันธุ์ยังพบว่าจากเดิม“สายพันธุ์อังกฤษ”หรือ“อัลฟ่า”ระบาดในเวฟ3 ในกรุงเทพฯและในประเทศ จากข้อมูลยืนยันจาก“หมอ”พบตอนนี้ “สายพันธุ์อินเดีย”หรือ“เดลต้า”ได้เข้ามาในกรุงเทพฯแล้วถึง52%ส่วนอัลฟาเหลือ47.8%
@ที่ไม่แปลกว่าสถานการณ์“เดลต้าบุกกรุงฯ”จะทำให้แวดวง “หมอหน้างาน”จะกระเพื่อมแรงจากปลายสัปดาห์ก่อนต่อสถานการณ์หน้างานที่ต้องเผชิญจาก “ผู้ชี้เป็นชี้ตาย” ผู้ป่วยโควิดอาการหนักที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นจนโรงพยาบาลรับไม่ไหวนำมาสู่ภาพ“รอเตียงเสียชีวิต” มาถึงการได้รับผลกระทบติดเชื้อจากคนไข้ เพราะไม่มีเกราะป้องกัน “วัคซีนชิโนแวค” ที่ฉีดไป2เข็มเอาไม่อยู่ดังเคส รพ.เชียงราย และอีกหลายแห่ง
จนบุคลากรแพทย์เริ่มเสียขวัญและออกมาเรียกร้องให้มาการฉีดวัคซีนmRna เป็นเข็ม3ให้ เพื่อสามารถทานต่อเชื้อกลายพันธุ์ ที่สถานการณ์มาพีคเมื่อวานซืน(4ก.ค.)ที่ปรากฏ“เอกสารหลุด”จากที่ประชุมวิชาการว่าด้วยจะฉีดวัคซีน “ไฟเซอร์”ที่สหรัฐฯบริจาดมา1.5ล้านโดสให้ใคร ที่เนื้อหาใน ข้อ10 ส่งผลเอฟเฟกต์แรงให้เกิดการเคลื่อนไหวของแวดวงหมอทั้งหมอเด็กหมออาวุโสจนมีการกลับมาของ “กลุ่มหมอไม่ทน”ที่ออกแคมเปญล่ารายชื่อ2แสนให้รัฐบาลรีบจัดหา “วัคซีน mRnaเข็ม3 เพื่อบูสเตอร์”และตามมาด้วยการนัดจัดกิจกรรม ติดริบบิ้นดำของหมอพรุ่งนี้(7ก.ค.)
@ที่อาการกระเพื่อมแรงของ“หมอไม่ทน”ที่กำลังขยายแนวร่วมมากขึ้น ดังกล่าว ส่งผลทำให้ วันนี้(6ก.ค.)ปรากฏท่าทีมาจากกระทรวงสาธารณสุขที่ออกมาแถลงถึง แนวทางการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกัน โดยพูดถึงการ ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ให้บุคลากรทางการแพทย์ ว่า ถ้ามาช้าจะฉีดแอสตราก่อน โดย “ศ. เกียรติคุณ นพ.อุดม คชินทร” ที่ปรึกษา ศบค. บอกว่า “มีมติว่า กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ จะต้องได้บูสเตอร์ก่อนเป็นกลุ่มแรก โดยต้องได้ mRNA เป็นแอสตราฯ หรือ ไฟเซอร์ ที่กำลังจะได้มาจากสหรัฐอเมริกา 1.5 ล้านโดส
ฉะนั้น คำว่าบูสเตอร์โดส ไม่เฉพาะคนทั่วไป ไม่มีประเทศไหนกำหนดแนวทางไกด์ไลน์หรือแม้กระทั่งองค์การอนามัยโลก ไม่มี ขณะนี้ ศิริราช จุฬา ทำการศึกษาเข็มสามว่าตัวไหนจะเหมาะ ตัวไหนดีที่สุดอีก 1 เดือนรู้ผล และว่า ถือเป็นการศึกษาแรกๆ ในโลก ที่จะกำหนดไกด์ไลน์ ว่า การให้บูสเตอร์โดสจะใช้อะไรบ้างอย่างไร และการใช้ไม่ได้ใช้สำหรับคนทั่วไป แต่ใช้สำหรับผู้มีความเสี่ยงสูงที่จะไปสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ ข้อกำหนดที่ 2 จะให้กับผู้มีความเสี่ยง กลุ่มโรคต่างๆ ส่วน 20 ล้านโดสที่จะมาไตรมาส 4 มีเวลาจะระดมฉีดให้เต็มที่
@โดย นพ.อุดม ยังบอกด้วยว่า ปัจจุบัน บุคลากรทางการแพทย์ 7 แสนคน ฉีดซิโนแวค 2 เข็มครบเป็นเวลา 3-4 เดือน ได้เวลาที่ต้องต้องบูสเตอร์โดส หากไฟเซอร์ ยังไม่มา จะฉีดแอสตร้าให้ก่อน ทั้งนี้ยืนยัน การ“บูสเตอร์โดส” มีความสำคัญแน่นอน แต่อย่าดาวน์เกรด ซิโนแวค เพราะลดการเจ็บป่วยรุนแรงตาย ไม่แพ้วัคซีนตัวอื่น โดยเรายังมีเวลา 3-6 เดือนข้างหน้า ที่จะกำหนดออกมาให้ประชาชนได้ทราบต่อไป
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news