ระบบล่ม-วัคซีนผสม
ระบบล่ม-วัคซีนผสม
แม้จะมีมติของ “คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อแห่งชาติ” 4ข้อ ออกมาเมื่อวาน (12ก.ค.) อาทิ ฉีด วัคซีน เข็ม3 Booster dose บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ในเดือนนี้ ,ฉีดวัคซีนโควิดสลับผสมเข็ม 1-2 ซิโนแวค -แอสตราเซเนกา สู้สายพันธุ์เดลต้า,เพิ่มโอกาสเข้าถึงการตรวจหาเชื้อโควิด โดยใช้ Antigen Test Kit และ แนวทางการแยกกักที่บ้าน (Home isolation) ที่แม้จะต้องรอ “รูปธรรม” การปฏิบัติหน้างาน แต่ถือเป็นการขยาย ”คอขวด” ข้อกำหนดต่างๆของกฎหมายที่ตามไม่ทันสถานการณ์การระบาด “โควิด-19” ที่พัฒนามาสู่สายพันธุ์ “เดลตา” มีความร้ายแรงและเร็วในอาการเจ็บถึงตาย ดัง สภาพหดหู่ที่เกิดขึ้นทุกวันกับผู้คนหลายครอบครัว ทั้งพ่อแก่แม่เฒ่าเด็กน้อย คุณแม่ตั้งครรภ์ ที่รอเตียงเสียจนเสียชีวิตแบบทุกข์ทรมาน
ทั้งภาพการเบียดเสียดยัดเยียดต่อคิวข้ามคืนหรือเช้ามืดเพื่อขอรับการตรวจโควิดที่เสี่ยงติดเชื้อจากผู้ที่มีเชื้อที่มาตรวจของ ”ผู้คน” ทั้งที่ “แพนิก” กับอัตราการติดเชื้อ และเสียชีวิต นับตั้งแต่เข้าเดือนกรกฎาคมมา 13 วัน ที่ยอดเฉียดหมื่นเกือบทุกวัน อย่าง”มีนัยยะสำคัญ” เพราะยอดการตรวจต่อวันถือว่าน้อยมากคือหลักพันปลายๆหมื่นต้นๆ เช่นของวันนี้ มียอดติดเชื้อ 8,685 สะสม 353,712 เสียชีวิต 56 จนหลายฝ่ายเริ่มกังวลถึงยอดติดเชื้อแฝงในประชากร ที่ยังไม่ถูกนำมาแสดงตามตัวเลขที่สธ. ศบค.รายงาน เพราะเจ็บป่วยติดเชื้อโควิด โดยที่ยังเข้าไม่ถึงระบบการตรวจ
ที่ก็สอดรับกับภาพผู้คนดิ้นรนหาที่ตรวจเอง ไม่แต่ชาวบ้านทั่วไปแต่รวมถึงผู้คนในระบบแรงงาน เพราะถูกบังคับกรายๆจากออฟฟิศที่ทำงานเข้ามาด้วย ที่แห่ไปตรวจตามสถานที่เปิดให้มีการตรวจฟรี ที่นอกจากเสี่ยงในการตรวจ ยังต้องลุ้นต่อว่าเมื่อตรวจว่า ”ติดเชื้อ” แล้วจะหาที่รักษาได้หรือไม่ ที่แม้ฝ่ายเกี่ยวข้องรัฐบาล ศบค. สธ. กทม.จะพยายามสร้างโรงพยาบาลสนามรองรับ แต่ก็ยังมีปัญหา ”บุคลากรทางการแพทย์” ที่ไม่พอในการกระจายตัวออกไปจากโรงพยาบาลหลัก ที่ก็โหลดหนักทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชน ไม่นับรวมปัญหาความไม่มั่นใจ “วัคซีนในมือ” ของรัฐบาลที่มากระปิดกระปอย จนทำให้ต้องขยับสลับการฉีดระหว่าง 2 วัคซีน หลัก ”แอสตราฯ” และ ”ซิโนแวค” และเกิดปัญหาการสร้างภูมิเพราะยอดกาสรฉีดยังต่ำกว่าเป้าที่ ”นายกฯ” ตั้งไว้ 120 วัน เดิมที่ต้องฉีดให้ได้ 4 แสนกว่า
ที่เมื่อทุกปัญหาไปอั้นเป็น ”คอขวด” แบบประเดประดัง ทำให้เกิดอาการที่เริ่มมีการพูดถึงสัญญาน ”ระบบสาธารณสุขล่ม” ที่เริ่มออกอาการตั้งแต่ การไม่รับตรวจ ไม่รับรักษา หรือต้องตัดสินว่า ”ใครจะอยู่ใครจะไป” แบบที่ ”ผู้สูงอายุ” จะถูกพิจารณา ”คัดออก” ไม่ได้ไปต่อก่อนเพื่อน เพราะปัญหาICUล้นเตียงเต็ม ไม่แต่เท่านั้นเริ่มปรากฎปัญหาการระบาดภายในรพ. ทำให้ คนทำงานลด แต่ ผู้ป่วยเพิ่ม ผู้ป่วยโรคอื่นๆไม่ได้รับการรักษา/ถูกเลื่อนนัด เพราะแผนกนั้นๆต้องปิดเนื่องจากมีบุคลากรติดเชื้อหรือกักตัว ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่นหลายโรงพยาบาลรัฐที่ประกาศปิดวอล์ดหรือแผนก ที่เริ่มกลายเป็นโดมิโนส่งผลกระทบผู้ป่วยโรคอื่นๆ เช่น – มีนัดคลอด แต่ห้องคลอดปิด – มีนัดผ่าตัด ห้องผ่าตัดปิด ต้องเลื่อนผ่าหรือหาที่ใหม่ – มีนัดให้คีโม แผนกเคมีบำบัดปิด ก็ต้องหาทางไปที่อื่น ซึ่งทำให้อัตราตายกับเจ็บหนักจากโรคที่’ไม่ใช่โควิด’ เพิ่มมากขึ้น
ขณะที่ หันมาดูที่ “วัคซีน” ที่หลายฝ่ายบอกต้องเร่งปูพรมฉีดให้เร็วที่สุดอย่างในมาตรการของ ศบค.ที่ออกมาให้ฉีดกลุ่มเสี่ยงสูงวัยและ 7 โรคให้ได้ล้านใน 2 สัปดาห์ ที่ประเด็น ”รีมิกวัคซีน” ทั้งที่มีค้างสต๊อกอย่าง ”ซิโนแวค” และที่ ”คอยอยู่” อย่าง ”แอสตราฯ” ก็ถูกตั้งข้อสงสัยไม่น้อยกับที่ มติ ศบค. เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว เห็นชอบกับข้อเสนอนำวัคซีน Pfizer 1.5 ล้านโดส ที่ได้รับบริจาคจากสหรัฐ มาฉีดเข็ม 3 ให้บุคลากรทางการแพทย์ 7 แสนคน แต่ผ่านไป 3 วัน “หมอยง” ออกมาพูดประเด็นการผสมสลับได้ระหว่าง ”ซิโนแวค2เข็ม” และกระตุ้นเข็ม 3 ด้วย virus Vector สามารถทำได้ให้เกิดภูมิต้านทานที่สูงมาก โดยไม่ต้องรอวัคซีนชนิดอื่น “คณะกรรมการโรคติดต่อ” ก็บอกจะให้ฉีด AstraZeneca เป็นเข็ม 3 โดยมีการอ้างว่าเพราะ Pfizer จากสหรัฐ ไม่รู้มาเมื่อไหร่ ที่ประเด็น “วัคซีนผสม” ที่ออกมา
ที่ทั้งหมด ยังไม่นับรวมข้อต้องพิสูจน์จากคำเตือนจาก หัวหน้าคณะนักวิทยาศาสตร์ประจำองค์การอนามัยโลก หรือWHO ที่ว่า การสร้างภูมิคุ้มกันโดย “จับคู่วัคซีนจากผู้ผลิตหลายรายมาผสมกัน” ซึ่งหลายประเทศกำลังดำเนินการอยู่นั้น ถือเป็น “แนวโน้มที่อันตราย” เพราะยังมีข้อมูลการวิจัยอยู่น้อยมาก จนไม่อาจจะทราบได้ว่าจะมีผลข้างเคียงอย่างไรบ้าง และ ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานยืนยันถึงความจำเป็นของการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธถึงความเป็นไปได้ที่อาจต้องฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ในอนาคต
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news