Home
|
ทั่วไป

ศบค.กำชับรักษาตัวที่บ้านต้องรับผิดชอบ

Featured Image
ศบค. ย้ำ กำชับผู้ป่วยรักษาตัวที่บ้าน ต้องรับผิดชอบตัวเอง ต้องอยู่ภายในที่พักอาศัย 14 วัน หลังโซเชียลวิจารณ์ยังไปร้านสะดวกซื้อ

นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. เปิดเผยว่า รายงานการตรวจเชื้อในพื้นที่กรุงเทพมหานครตามกลุ่มเขตโดยใช้ Antigen Rapid Test Kit หรือ ATK พบการติดเชื้อ 803 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 12.7 ซึ่งเป็นการวางระบบการเข้ารับการรักษาแบบ Home isolation และ community isolation

ขณะที่การดำเนินการ ตรวจเชิงรุกของชุด CCRT ทำการตรวจเชิงรุก 1,810 ราย พบผลเป็นบวก 222 ราย เข้าระบบ Home Isolation ทั้งหมดโดยนายแพทย์ทวีศิลป์ย้ำว่า ขอให้ผู้ที่อยู่ใน Home Isolation นั้นอยู่ภายในที่พักอาศัย 14 วัน ซึ่งเป็นประเด็นที่มีการพูดถึงอยู่ในสังคมออนไลน์ว่ามีผู้ติดเชื้อบางส่วนยังเดินทางออกนอกเคหสถานเพื่อไปซื้อของอย่างร้านสะดวกซื้อ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความรับผิดชอบในตัวของผู้ป่วยเองและรับผิดชอบต่อผู้อื่น

โดยเมื่อวานนี้ (15 ส.ค.64) ที่ประชุม ศปก.ศบค. มีการหารือภูเก็ต Sandbox ซึ่งเปิดดำเนินการมาแล้วกว่า 1 เดือนครึ่ง โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสม 14,055 คน ไม่พบผู้ติดเชื้อ 14,022 คน ติดเชื้อสะสม 441 คน เป็นคนภายในประเทศ 409 คน และต่างประเทศ 32 คน ซึ่งสร้างรายได้ 829 ล้านบาท

โดยนายแพทย์ทวีศิลป์ มองว่า ตลอดระยะเวลาการเปิดโครงการภูเก็ต sandbox การติดเชื้อค่อนข้างต่ำ ซึ่งจะเป็นข้อมูลนำเข้าที่จะหารือกันในที่ประชุมศบค.บ่ายนี้ด้วย

โดยในช่วงบ่ายวันนี้ที่ประชุมศบค. จะมีวาระสำคัญ ใน 4 เรื่อง ประกอบด้วยแผนการให้บริการวัคซีน การรับความช่วยเหลือด้านการแพทย์ และสาธารณสุขจากต่างประเทศ เช่นกรณีการแลกวัคซีนระหว่างรัฐบาลภูฏานกับทางรัฐบาลไทย และการรับบริจาค mono corona antibodies ซึ่งเป็นยารักษาโควิด-19 ชนิดหนึ่ง จากกระทรวงสาธารณสุขประเทศเยอรมนี และการประเมินผลการปรับมาตรการ ควบคุมโรคติดเชื้อโควิด-19 รวมไปถึงเปิดพื้นที่นำร่องรับนักท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตเชื่อมต่อจังหวัดนำร่องอื่นๆ หรือ 7 + 7

ศบค. แถลง ไทยอันดับ 35 โลก ป่วยใหม่ 21,157 ราย สะสม 928,314 ตายอีก 182 รักษาหายแล้ว 709,646 เหลือรักษาตัว ในโรงพยาบาล 210,934คน ฉีดวัคซีนแล้ว 23.5 ล้านโดส

นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. เผยตัวเลขสถานการณ์ประจำวันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม 2564 ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 35 ของโลก พบผู้ติดเชื้อรายใหม่รวม 21,157 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยรายใหม่ 20,499 ราย ผู้ป่วยในเรือนจำ 658 ราย พบผู้ป่วยยืนยันสะสมทั้งหมด 928,314 ราย รักษาอยู่ 210,934 ราย รักษาในโรงพยาบาล 55,942 ราย และโรงพยาบาลสนาม 154,992 ราย เป็นผู้ป่วยอาการหนัก 5,626 ราย และต้องใส่ท่อช่วยหายใจ 1,161 ราย รักษาหายกลับบ้านแล้ว 709,646 ราย หายเพิ่ม 20,984 ราย เสียชีวิตใหม่ 182 ราย รวมเสียชีวิต 7,734 คน

โดยผู้เสียชีวิตรายใหม่เป็นผู้ป่วยชาย 104 ราย ผู้ป่วยหญิง 78 ราย เป็นชาวไทย 176 ราย, เมียนมา 6 ราย, โดยจำนวนนี้ มีเด็กอายุ 7 เดือน เสียชีวิต 1 ราย เป็นชาวเมียนมา และพบเป็นธาลัสซีเมีย และเมื่อแบ่งตามพื้นที่ พบว่า กรุงเทพมหานคร 64 ราย, ปริมณฑล 40 ราย แบ่งเป็นสมุทรปราการ 11 ราย, สมุทรสาคร 10 ราย, นครปฐม 9 ราย, ปทุมธานี 8 รายและนนทบุรี 2 ราย, ภาคใต้ 13 ราย แบ่งเป็นยะลา 3 ราย, นราธิวาส, สุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช จังหวัดละ 2 ราย, สงขลา, ระนองและสตูล จังหวัดละ 1 ราย, ภาคอีสาน 27 ราย แบ่งเป็นหนองคาย 8 ราย, ร้อยเอ็ด 6 ราย, นครราชสีมา 5 ราย, อำนาจเจริญและสุรินทร์ จังหวัดละ 2 ราย, ขอนแก่น, มหาสารคาม, อุดรธานี และยโสธร จังหวัดละ 1 ราย, ภาคเหนือ 17 รายแบ่งเป็น ตาก 7 ราย, พิจิตร 3 ราย, กำแพงเพชร 2 ราย, อุตรดิตถ์และน่านจังหวัดละ 1 ราย, และภาคตะวันออก 22 ราย แบ่งเป็น ชลบุรี 8 ราย, ประจวบคีรีขันธ์ 4 ราย, กาญจนบุรีและปราจีนบุรี จังหวัดละ 3 ราย, ฉะเชิงเทรา, เพชรบุรี, ระยองและสระแก้ว จังหวัดละ 1 ราย

ซึ่งผู้ติดเชื้อรายใหม่แบ่งเป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ 20,493 ราย เป็นผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างประเทศเข้า State Quarantine 6 ราย เป็นการค้นหาเชิงรุก/โรงงาน และในชุมชน 3,630 ราย ค้นหาเชิงรุกในเรือนจำ 658 ราย และเข้าระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ 16,863 ราย

ส่วนการฉีดวัคซีนในประเทศไทยรวม 23,592,227 โดส เข็มที่ 1 เข็มที่ 1 สะสม : 17,996,826 ราย เข็มที่ 2 สะสม : 5,109,476 ราย และ เข็มที่ 3 สะสม : 485,925 ราย

โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมหรือ อว. ได้เผยจำนวนการฉีดวัคซีนทั่วโลก 204,505,679 ราย ซึ่งทางฝั่งเอเชีย ประเทศอินโดนีเซีย มีการฉีดอันดับที่ 1 ได้จำนวน 82 ล้านราย คิดเป็น 19.6% ต่อจำนวนประชากร, อันดับที่ 2 ประเทศมาเลเซีย ได้จำนวน 27 ล้านราย คิดเป็น 51.6% ต่อจำนวนประชากร, อันดับที่ 3 ประเทศฟิลิปปินส์ ฉีดได้จำนวน 26 ล้านราย คิดเป็น 12.7% ต่อจำนวนประชากร และอันดับที่ 4 ประเทศไทย ฉีดได้จำนวน 23 ล้านคน คิดเป็น 27% ต่อจำนวนประชากร

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube