ครม.เห็นชอบให้สภาซักฟอก31ส.ค.เป็นต้นไป
ครม.เห็นชอบให้สภาซักฟอก 31 ส.ค. เป็นต้นไป ยันพร้อมให้ข้อมูล ชี้แจงทุกข้อสงสัย
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยถึงมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) กำหนดวันอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า คณะรัฐมนตรีเห็นชอบเสนอให้นำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่วิป 3 ฝ่าย ว่าทางคณะรัฐมนตรีมีความพร้อมที่จะให้ดำเนินการอภิปรายตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค.เป็นต้นไป ส่วนจะเป็นวันใดที่ชัดเจนนั้นขอให้วิป 3 ฝ่ายพิจารณากำหนดวันที่เหมาะสมเองซึ่งรัฐบาลมีความพร้อม
โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่า รัฐบาลจะใช้โอกาสในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยคณะรัฐมนตรีทุกคนมีความพร้อมที่จะให้ข้อมูลและชี้แจงทุกข้อสงสัย ให้เกิดความกระจ่าง เพื่อให้สมาชิกฝ่ายค้านและประชาชน ที่ได้ติดตามการอภิปรายเกิดความกระจ่างและเข้าใจในการทำงานของรัฐบาลในทุกๆด้าน
ครม.เห็นชอบขยายระยะเวลาลดภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่จะครบกำหนดในวันที่ 30 ก.ย.64 ต่อขยายไปอีกเป็นเวลา 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.64 ถึง 30 ก.ย.66
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ในการคงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 ไปอีก 2 ปี ว่า คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบขยายระยะเวลา การลดภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่จะครบกำหนดในวันที่ 30 ก.ย.64 ต่อขยายไปอีกเป็นเวลา 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.64 ถึง 30 ก.ย.66 โดยจะยังคงจัดเก็บที่อัตรา ร้อยละ 7 ซึ่งในการขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษี ไม่มีผลกระทบต่อการประมาณการรายได้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 และการประมาณรายได้ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เนื่องจากการจัดทำงบประมาณในปีดังกล่าว ได้ใช้ข้อมูลฐานการคำนวณ การจัดเก็บอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่ร้อยละ 7
รองโฆษก เผย คกก.กลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ไม่ได้มีการอนุมัติโครงการใหม่ ด้านครม.มอบกระทรวงการท้องเที่ยวพิจารณาช่วงเวลาเริ่มดำเนินโครงการเราเที่ยวด้วยกัน
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มติของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในวันนี้ไม่ได้มีการอนุมัติโครงการใหม่ แต่เป็นเรื่องของการปรับแก้โครงการที่ได้รับอนุมัติไปแล้วให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์จริง และในการปฏิบัติ โดยอนุมัติให้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายโครงการกำลังใจ จากเดิมที่การเบิกจ่ายจะต้องทำให้สิ้นสุดในเดือนสิงหาคม 2564 ขยายไปถึงเดือนธันวาคม 2564 เนื่องจากขณะนี้ยังมีผู้ที่อยู่ระหว่างการยื่นเรื่องเอกสารและรอการตรวจสอบข้อมูลการเดินทางภายใต้โครงการอยู่ เพราะฉะนั้นการยืดระยะเวลาออกไปจะทำให้การเบิกจ่าย นั้นครบถ้วนมากขึ้น
นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ไปพิจารณาความเหมาะสมของช่วงระยะเวลาที่จะเริ่มดำเนินโครงการเราเที่ยวด้วยกัน และโครงการทัวร์เที่ยวไทย พิจารณาให้เหมาะสมกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ณ ขณะนี้ โดยให้กำหนดเงื่อนไขและรายละเอียด ให้เหมาะสมด้วยเช่นกัน แต่หากพิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่สามารถเริ่มต้นดำเนินโครงการทั้งสองได้ภายในเดือนตุลาคมนี้ ก็สามารถพิจารณาขอเสนอยุติโครงการได้ และหากคิดว่าจะยุติโครงการ ก็ให้คืนกรอบวงเงินกู้ที่เหลือจ่ายตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้ อนุมัติให้กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการยกระดับศูนย์อนามัยหรือหน่วยบริการอนามัยทั่วประเทศให้มีศักยภาพ ในการรองรับการระบาดของ โควิด-19 จากเดิมที่โครงการนี้กำหนดระยะเวลาช่วงเดือนมิถุนายน ถึงเดือนกันยายน 2564 ให้ขยายถึงเดือนธันวาคมนี้ เพื่อให้หน่วยบริการอนามัย มีศักยภาพที่จะรองรับประชาชนในพื้นที่ต่างๆให้สอดรับกับสถานการณ์
ขณะที่ยังมีการอนุมัติให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ขยายระยะเวลาดำเนินการ โครงการ gastronomy tourism หรือลานนา gastronomY คิดถึงเชียงใหม่ ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาเมืองเชียงใหม่ให้เป็นเมืองท่องเที่ยววัฒนธรรมอาหารล้านนา ส่งเสริมอัตลักษณ์ท้องถิ่นในด้านอาหาร โดยกลุ่มเป้าหมายที่จะเข้าสู่โครงการ คือกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการร้านอาหาร โดยได้อนุมัติไปแล้ว ซึ่งเดิมระยะเวลา 1 ตุลาคม 2563 ถึง 30 กันยายน 2564 โดยให้ขยายถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564
นอกจากนี้ ยังมีการอนุมัติโครงการพัฒนา และเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก อนุมัติกรอบวงเงิน 3,500 ล้านบาท ที่จะลงไปใน 12 จังหวัด รวม 2186 โครงการ เน้นการสร้างงานและพัฒนาพื้นที่โดยตรง แบ่งเป็นกลุ่มโครงการได้ 4 ประเภท คือโครงการกลุ่มพัฒนาสินค้า ท่องเที่ยวบริการ และร้านค้า / กลุ่มโครงการที่เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพและมูลค่าเพิ่มด้านการเกษตร / กลุ่มโครงการส่งเสริมพัฒนาทักษะของแรงงาน / กลุ่มโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
ครม.เห็นชอบเพิ่มทุน 4.18 พันลบ. ให้ EXIM Bank มุ่งช่วยเหลือ SME ขยายตลาดในประเทศ CLMV และตลาดใหม่
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ ว่า ที่ประชุมเห็นชอบกำหนดให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือ EXIM Bank ซึ่งเป็นสถาบันการเงินที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขั้น แต่ไม่ได้เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจตามพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พ.ศ.2558 สามารถใช้เงินจากกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อการเพิ่มทุนได้ และอนุมัติกรอบวงเงินที่จะจัดสรรจากกองทุนฯ เพื่อการเพิ่มทุน เพื่อขยายการดำเนินงานให้แก่ ธสน. จำนวนไม่เกิน 4,189 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อมุ่งช่วยเหลือและสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ SMEs เป็นหลัก สามารถทำการค้าและการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศมากยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายขยายการดำเนินงานในกลุ่มตลาด 3 กลุ่ม ได้แก่ 1)ตลาดในประเทศ 2) ตลาด CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) และ3)ตลาดใหม่ (New Frontiers) เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย มัลดีฟส์ เป็นต้น ซึ่งเป็นไปตามแนวนโยบายสถาบันการเงินเฉพาะกิจระยะ 5 ปี (ปี 2564-2568) ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นควรให้กองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ มีการกำหนดตัวชี้วัดเพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์จากการเพิ่มทุน ธสน. อย่างน้อยให้ครอบคลุมตัวชี้วัด เช่น ด้านการขยายสินเชื่อ ด้านฐานะทางการเงิน ด้านผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคม
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news