ออสเตรเลียยุติเก็บADสินค้าสับปะรดกระป๋อง
ออสเตรเลีย ประกาศยุติการเก็บอากรมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด สินค้าสับปะรดกระป๋องและกระจกจากไทย ดีต่อการส่งออกภาพรวม
นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า หลังจากหน่วยงานไต่สวนการทุ่มตลาดของออสเตรเลีย ได้ประกาศเปิดทบทวนการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) กับสินค้าของไทย 2 ประเภท ได้แก่ สินค้าสับปะรดกระป๋องสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและสำหรับผู้บริโภค เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2564 และสินค้ากระจกโฟลตใส เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 และล่าสุดออสเตรเลียได้ประกาศยุติการใช้มาตรการ AD กับสินค้าทั้ง 2 ชนิดของไทยแล้ว
โดยสินค้าสับปะรดกระป๋อง ยุติการใช้มาตรการกับสินค้าทั้งจากไทยและฟิลิปปินส์ เนื่องจากอุตสาหกรรมภายในออสเตรเลียไม่ได้รับความเสียหายจากสินค้าที่นำเข้าจากไทยและฟิลิปปินส์แล้ว โดยไทยถูกเรียกเก็บอากร AD จากสินค้าสับปะรดกระป๋องมายาวนานถึง 20 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2544 โดยเรียกเก็บอากรในอัตราร้อยละ 9.6-28.6 สำหรับชนิดใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร และอัตรา ร้อยละ 2.6-16.8 สำหรับชนิดสำหรับผู้บริโภค และสินค้ากระจกโฟลตใส ออสเตรเลียได้ประกาศผลให้ยุติการใช้มาตรการกับสินค้าจากไทยและจีน เนื่องจากไม่มีเหตุให้เชื่อว่าไทยจะทุ่มตลาดอีก แต่ยังใช้มาตรการกับสินค้าจากอินโดนีเซียต่อไปในอัตราอากรตอบโต้การทุ่มตลาดร้อยละ 15.3-28.3 ไทยจึงถือว่ามีความได้เปรียบ โดยไทยได้ถูกเรียกเก็บอากร AD จากสินค้ากระจกโฟลตใสมานานถึง 10 ปี ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2554 ในอัตราร้อยละ 8.8-25.8
อย่างไรก็ตาม การประกาศยุติการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดกับสินค้าไทยจึงนับว่าเป็นผลดีต่อผู้ส่งออกสินค้าสับปะรดกระป๋องทั้ง 2 ประเภทและสินค้ากระจกโฟลตใสที่จะทำให้ผู้นำเข้าในออสเตรเลียสั่งสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจาก ผู้นำเข้าไม่ต้องจ่ายอากร AD โดยเฉพาะสินค้าสับปะรดกระป๋องสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมอาหารที่ออสเตรเลียมีสับปะรดสดที่จำกัดจึงต้องพึ่งพาการนำเข้า จากนี้ต่อไปขอให้ผู้ส่งออกไทยพึงระวังในการกำหนดราคาส่งออก เนื่องจากหากส่งออกด้วยราคาทุ่มตลาด ออสเตรเลียก็อาจฟ้องเพื่อใช้มาตรการตอบโต้อีกครั้งได้และขอให้ใช้โอกาสจากการได้เปรียบเหนือคู่แข่ง เพื่อให้สามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในออสเตรเลียได้
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news