บรรยากาศที่ท่าอากาศยานดอนเมืองวันแรกของการเปิดประเทศ เพื่อต้อนรับชาวต่างชาติจาก 63 ประเทศ เข้ามาท่องเที่ยวที่ไทยได้โดยไม่ต้องกักตัว
เพียงแสดงหลักฐานหรือเอกสารการได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว และมีการตรวจ SWAP ตรวจหาเชื้อโควิด-19 แล้วไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทางและปฎิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 ที่สาธารณสุขกำหนดเพื่อความมั่นใจและความปลอดภัยในการเดินทาง โดยพบว่าตั้งแต่เช้ามีผู้โดยสารทั้งชาวไทยและต่างชาติ เดินทางมาใช้บริการที่สนามบินดอนเมืองกันอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่เป็นการเดินทางเข้า-ออกในประเทศ เช่น เดินทางไปท่องเที่ยวยังต่างจังหวัด บ้างกลับภูมิลำเนา
โดยประตูทางเข้าออกภายในสนามบินทั้งอาคารผู้โดยสารขาเข้าและขาออกจะมีเจ้าหน้าที่ของท่าอากาศยานดอนเมืองทำการตรวจคัดกรองผู้ที่จะเข้ามาภายในสนาม เช่น ตรวจกระเป๋าและตรวจคัดกรองโควิด-19 เบื้องต้น เช่น ติดตั้งเครื่องวัดอุณหภูมิร่างกาย และขอความร่วมมือให้สแกนแอพไทยชนะ รวมถึงจัดเจลล้างมือไว้ให้บริการ ขณะเดียวกันทางสนามบินได้จัดทำลูกศรและป้ายประชาสัมพันธ์ เพื่อบอกเส้นทางแก่นักท่องเที่ยวภายในอาคารผู้โดยสาร เช่น จุดเรียกแท็กซี่ จุดนัดพบ ขณะที่ร้านค้าร้านอาหารต่างๆภายในสนามบิน แม้จะเปิดให้บริการแต่ไม่คึกคักมากนัก
อย่างไรก็ตาม ทางสนามบินคาดการณ์ว่าในช่วงการเปิดระยะแรก จะมีผู้โดยสารใช้บริการท่าอากาศยานดอนเมืองอยู่ที่ 10,000 คน/วัน หรือประมาณ 20% เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีผู้โดยสารอยู่ที่ 50,000 คน/วัน โดยยืนยันว่าสนามบินมีความพร้อมในการรองรับการเปิดประเทศ 100% อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ทีมข่าวยังได้สำรวจการจราจรในกรุงเทพในวันเปิดประเทศ โดยเฉพาะถนนวิภาวดีรังสิต พบว่าทั้งขาเข้าและขาออกการจราจรยังเคลื่อนตัวได้ดี ไม่พบติดขัดสะสมแต่อย่างใด เช่นเดียวกับรถไฟฟ้าใต้ดินและบีทีเอสที่สถานีจตุจักรค่อยข้างเงียบ ทั้งนี่คาดว่าส่วนหนึ่งประชาชนยังคงWFH และไม่กล้าออกมาข้างนอก ขณะที่นักนักท่องเที่ยวที่มาจากต่างประเทศยังไม่สามารถออกมาท่องเที่ยวได้วันแรกเพราะต้องรอผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 โดยต้องจับตาว่าแผนเปิดประเทศของรัฐบาลที่ตั้งเป้าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาวันละ 10,000 คน หรือกว่า6 แสนคนใน2 เดือนสุดท้ายจะเป็นไปตามหรือไม่
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news