ศบค.เร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนตามเป้าหมาย เข้มงวดคัดกรองชาวต่างชาติขั้นสูงสุดป้องกันโอไมครอน
นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. กล่าวว่า สัปดาห์นี้ยังให้เป็นสัปดาห์ที่ฉีดวัคซีนโดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 27 พ.ย.64 ซึ่งเป็นวันสถาปนากระทรวงสาธารณสุขจนถึงวันที่ 5 ธ.ค. ซึ่งเป็นวันพ่อ โดยเมื่อวันที่ 30 พ.ย.ฉีดไปแล้ว 93,536,449 โด๊ส ซึ่งจำนวนประชากร 67 ล้านคน ฉีดเข็มที่ 1 ได้ 72.22% แต่หากเป็น 72 ล้านคนที่มีประชากรแฝงด้วยนั้นฉีดได้ 67.24%
จึงขอความร่วมมือประชาชนที่อยู่ตามจังหวัดต่างๆเหล่านี้เดินทางเข้ารับการฉีดวัคซีน ซึ่งคนใดคนหนึ่งฉีดวัคซีนไม่ได้ช่วยทำให้สังคมปลอดภัยประเทศต้องได้ 70% ขึ้นไปรวมถึงเข็มสองด้วย จึงจะทำให้มีภูมิ ซึ่งขณะนี้มีเชื้อโอไมครอนเข้ามา การฉีดวัคซีนเพื่อลดความรุนแรงของโรคได้บ้าง ซึ่งเรื่องนี้พูดตามหลักทั่วไป
ด้านการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติตั้งแต่วันที่ 1-30 พ.ย. จำนวน 133,061 ราย พบการติดเชื้อ 171 รายทาง Test and go ซึ่งระบบนี้เข้ามา 106,211 รายพบการติดเชื้อ 83 ราย คิดเป็น 0.08% โดยโครงการทั้งหมดพบผู้ติดเชื้อคิดเป็น 0.13% ซึ่งถือเป็นเรื่องที่คุ้มค่าที่เราจะให้มาตรการเหล่านี้คงต่อและให้มีผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศเพื่อนำเม็ดเงินต่างๆเข้ามาในประเทศไทยช่วงไฮซีซั่นซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงของปลายปีนี้
แต่อย่างไรก็ตามว่ามีเรื่องของโอไมครอนขึ้นมาก็ต้องมีมาตรการที่เน้นย้ำ ซึ่งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้มีการเห็นชอบด้วยกันว่าต้องเข้มเหมือนเดิมจากเดิมที่มีการผ่อนคลายให้ใช้ ATK ต้องกลับไประดับเท่าเดิมโดยการใช้ RT-PCR ต้องใช้มาตรฐานการตรวจสูงที่สุดเท่าที่เราจะควบคุมโรคได้
ด้าน 10 ประเทศอันดับแรกที่เดินทางเข้าราชอาณาจักรทางอากาศ จำแนกตามประเทศต้นทาง อาทิ สหรัฐอเมริกา, เยอรมนี, เนเธอร์แลนด์, สหราชอาณาจักร,ญี่ปุ่น, ฝรั่งเศส, เกาหลีใต้, UAE และอิสราเอล ซึ่งเราต้องให้ความสำคัญกับแต่ละประเทศ เนื่องจากเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนมาจากทางประเทศแอฟริกาใต้แต่เห็นว่าประเทศที่รายงานเหล่านี้ยังไม่มีการรายงานจากคนที่เดินทางเข้ามาไม่เกี่ยวข้องกับประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งเราต้องให้ความสำคัญกับมาตรการที่เราจะต้องจัดการ
โดยนายแพทย์ทวีศิลป์ ระบุว่า พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาสมช.ในฐานะผอ.ศปก.ศบค. ฝากมาว่า เราอยากเปิดประเทศอยากให้กิจการ กิจกรรมทำได้ในทุกที่โดยให้มีมาตรฐาน Sha หรือ Sha+ และ Thai stop covid ฝากทุกคนช่วยดูแลและปรับร้านตัวเองให้ขึ้นมาในระดับดังกล่าว เพราะหากเปิดการขาย ลูกค้ารวมถึงตัวเราเองจะปลอดภัย ซึ่งกทม.มีผลการตรวจร้านอาหาร ทั้งหมด 15,840 แห่ง ตรวจไป 10,161 ครั้ง มีการตักเตือน 619 ราย ดำเนินคดี6 ราย และสั่งปิด 1 ราย รวมถึงมีการตักเตือนการดื่มสุราร้านที่ไม่มี SHA จำนวน 172 แห่ง
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news