ศบศ.เห็นชอบ4 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “ดึงดูดชาวต่างชาติ-ส่งเสริมการลงทุนในกิจการคลาวด์-หนุนสตาร์ทอัพ-ถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) ครั้งที่ 5/2564 พิจารณาเห็นชอบ 4 ประเด็น
ได้แก่
1.มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้าสู่ประเทศไทย
2.มาตรการส่งเสริมการลงทุนในกิจการคลาวด์เซอร์วิส
3.มาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับธุรกิจด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ
4.มาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย
โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเป้าหมายในการพลิกโฉมประเทศไทย คือ การทำให้รายได้ประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนโดยที่ประชุมได้รายงานว่า การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2564 นี้ GDP สามารถกลับมาเติบโตเป็นบวกที่ร้อยละ 1.2 เนื่องจากไตรมาส 3 มีการติดลบน้อยกว่าที่ประมาณการณ์เป็นผลมาจากความสามารถในการส่งออกและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในโครงการต่าง ๆ ทั้งมาตรการคนละครึ่ง
มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศและความสามารถในการควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาล ซึ่งนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ “โอไมครอน” ว่าได้ดำเนินการทันที โดยสั่งห้ามการเดินทางจากประเทศเสี่ยงทันที และขณะนี้สามารถติดตามกลุ่มเสี่ยงที่เดินทางเข้ามาก่อนหน้านี้ได้ครบหมดแล้ว เพื่อนำมาตรวจ RT-PCRซ้ำ ซึ่งเป็นการดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันและควบคุม ทั้งนี้ คณะแพทย์ยังยืนยันว่า การฉีดวัคซีนครบ 2 โดส สามารถป้องกันอาการเจ็บป่วยรุนแรงจากไวรัสโควิด-19สายเดลต้าและโอไมครอน ได้ จึงอยากขอให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย เข้ารับการฉีดวัคซีนทุกคนด้วย
นายกรัฐมนตรี ยังให้แนวคิดและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนว่า การส่งเสริมการลงทุนปัจจุบันนี้ ต้องมีมาตรการดึงดูดเพิ่มเติมมากกว่าสิทธิประโยชน์การลงทุนหรือมาตรการภาษี ยังต้องช่วยกันคิดพิจารณาให้เหมาะสม ขณะเดียวกันรัฐบาลพร้อมสนับสนุนการลงทุนกิจการคลาวด์เซอร์วิสและ Data Center เพื่อขับเคลื่อนดิจิทัลประเทศไทย โดยสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย เตรียมความพร้อมสาธารณูปโภคพื้นฐานโดยเฉพาะด้านพลังงาน
เนื่องจากอุตสาหกรรมแห่งอนาคตจำเป็นต้องมีระบบไฟฟ้าเสถียรภาพ รวมทั้งการใช้พลังงานหมุนเวียน ขณะเดียวกันก็เร่งจัดระบบนิเวศที่เหมาะสม ทั้งการปรับปรุงกฎระเบียบที่ล้าสมัย แนวทางภาษีที่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมธุรกิจด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ โดยเฉพาะผู้ประกอบการคนรุ่นใหม่ของไทย โดยนายกรัฐมนตรี ยังย้ำในที่ประชุมว่า รัฐบาลชุดนี้ ให้ความสำคัญกับเยาวชนซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ โดยมองว่า การลงทุนในเยาวชนคือ การลงทุนเพื่ออนาคตประเทศ
นายกรัฐมนตรี กำชับให้ทำโดยเร็ว หลังจากที่มีการหารือวันนี้ ให้ทุกหน่วยงานกำหนดไทม์ไลน์ในการดำเนินการภายในระยะเวลา 1 – 3 เดือน ให้มีความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม เพราะการหารือในวันนี้ เป็นการเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ประเทศ แก้ปัญหาอุปสรรค ปรับปรุงกฎระเบียบที่ล้าสมัยส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ BCG ดิจิทัล พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อมุ่งลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความมั่นคง ภายใต้การจัดสรรงบประมาณและรายได้ให้เหมาะสม ทั้งนี้ การพลิกโฉมประเทศไทยต้องทำทันที ทำให้เร็ว เพราะวันนี้ทุกคนคือครอบครัวเดียวกัน
ศบค.เกาะติดโอไมครอน พบแล้ว 39 ประเทศ เข้มมาตรการป้องกันตามแผนที่ประกาศไปแล้ว
พญ.สุมณี วัชรสินธุ์ ผอ.สำนักสื่อสารความเสี่ยงฯกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ประเทศที่พบเชื้อสายพันธุ์กลายพันธุ์โอไมครอนมีการรายงานพบทั้งหมด 39 ประเทศ แบ่งเป็นทวีปแอฟริกา พบใหม่ที่กานา ทวีปยุโรป พบใหม่ที่นอร์เวย์, ฟินแลนด์, ฝรั่งเศสและไอซ์แลนด์, ทวีปอเมริกา พบใหม่ที่สหรัฐอเมริกา, ทวีปเอเชีย พบใหม่ที่ซาอุดีอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอินเดีย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการพบเชื้อนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมดที่เข้าไปในประเทศนั้นๆ สำหรับมาตรการป้องกันการติดเชื้อโอไมครอนในประเทศไทยขณะนี้ได้มีมาตรการซึ่งได้ประกาศออกไปแล้วเมื่อวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมาในขณะนี้ไม่ได้มีการรับนักท่องเที่ยวจาก 8 ประเทศกลุ่มเสี่ยงตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. แต่สำหรับผู้ที่เดินทางมาจากทวีปแอฟริกาใต้ที่เดินทางมาก่อนหน้านี้ได้มีการติดตามและมีการรายงานเป็นระยะ
โดยผู้ที่เข้ามาตั้งแต่วันที่ 15-27 พ.ย.และ 15พ.ย.-5 ธ.ค. แบ่งเป็น 2 กลุ่มเห็นว่ากลุ่มที่เราเฝ้าระวังและมีการติดตามจะเป็นกลุ่มแรกที่มาจาก 8 ประเทศกลุ่มเสี่ยงที่เดินทางมาในช่วง 15-27 พ.ย. ทั้งหมด 333 คน ซึ่งทั้งหมดที่เข้ามาทั้งทางกรุงเทพและภูเก็ตแบ่งเป็น 3 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่ออกจากประเทศไทยไปแล้ว 61 คน, กลุ่มที่กักตัวครบ 14 วัน ซึ่งไม่ต้องตามแล้วมี 105 คน และยังไม่ครบ 14 วันหลังจากออกจาก Snadbox และ Quarantine หรือที่กักกัน มีทั้งหมด 167 คน
ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่จะต้องติดตามให้บุคคลเหล่านี้มาตรวจ RT-PCR ซ้ำ โดยได้มีการทำข้อความส่งไปให้บุคคลเหล่านี้ให้มาตรวจอย่างเร็วที่สุดในสถานบริการใกล้บ้านโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งจาก 167 คน ขณะนี้ตามได้แล้ว 44 คน และขณะที่รายงานข่าวขณะนี้มีการรายงานเข้ามาถึง 50 คนแล้ว ที่เหลืออีก 133 คน ยังคงมีการติดตามกันอยู่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นช่องทางการส่งข้อความไปในอีเมลที่ลงไว้กับ Thailand pass ส่งไปในข้อความทางแอปพลิเคชั่นหมอชนะ มีการโทรติดตามทางโทรศัพท์ที่ได้ให้ไว้กับทางโรงแรมไว้ก่อนหน้านี้ที่เป็น SHA+ โดยทางศบค.ได้กำชับให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยช่วยติดตามให้โรงแรมที่เปิดรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ให้ลงแอปพลิเคชั่นหมอชนะเนื่องจากเป็นช่องทางหนึ่งที่ใช้ติดตามผลการตรวจ RT-PCR
ซึ่งเมื่อครบกำหนดวันที่กักตัวไปแล้ว และติดตามอาการในแต่ละวัน ถ้ากลุ่มที่ออกไปแล้วมีอาการสามารถติดตามที่แอปพลิเคชั่นหมอชนะได้
ขณะที่กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มเสี่ยงต่ำที่มาจากประเทศอื่นๆในทวีปแอฟริกาใต้มีจำนวนทั้งหมด 453 คน ซึ่งกลุ่มนี้ไม่ต้องตรวจ RT-PCR ซ้ำ แต่ต้องดูอาการตัวเองใน 14 วันหลังออกจากการกักตัวหรือออกจาก Sandbox
โดยที่ประชุม ศบค.ชุดเล็กไม่ได้มีจังหวัดที่มีการเตรียมความพร้อมเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวเข้ามาร่วมประชุมมีกรุงเทพมหานคร, เชียงใหม่, บุรีรัมย์, อุดรธานี,หนองคาย และเลย ซึ่งทุกจังหวัดเหล่านี้ได้มีการเตรียมการเปิดกิจการ กิจกรรม ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยทั้ง SHA, SHA+ Covid free setting, Thai stop covidหรือ Thai stop covid plus ซึ่งทุกกิจการสามารถขอให้ดำเนินการยกระดับมาตรฐานเหล่านี้ได้เลยโดยเฉพาะในที่ๆมีนักท่องเที่ยวไปมากๆ
โดยในช่วงเดือนธันวาคมจะเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว และในทุกภาคของประเทศไทยขณะนี้ของเราอยู่ในช่วงการเปิดประเทศและรับนักท่องเที่ยวเข้ามา ขณะเดียวกันมีการท่องเที่ยวของคนไทยมากขึ้น ทางกระทรวงสาธารณสุขและทางศบค.ชุดเล็กขอความร่วมมือทุกภาคส่วนตั้งแต่เจ้าของกิจการ ผู้ประกอบการทุกประเภทให้เปิดกิจการภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยทางสาธารณสุข รวมถึงขอความร่วมมือภาคประชาชนและประชาสังคมยังคงต้องเคร่งครัดมาตรการป้องกันตัวขั้นสูงสุดรวมถึงมาตรการป้องกันส่วนบุคคล
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news