Home
|
คลิปข่าวทั่วไป

“คริปโตไทย”ไม่ห้ามแค่ห่วง

เป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่น่าจับตาอย่างใกล้ชิด สำหรับ Crypto Currency หรือ สินทรัพย์ดิจิทัล นั่นเพราะได้รับความสนใจจากเหล่าบรรดานักลงทุน เนื่องจากให้ผลตอบแทนสูง ขณะที่หลายบริษัทเริ่มทำการตลาด และ ยอมรับให้ใช้ Crypto Currency อาทิ Bitcoin Etheruem ในการซื้อสินค้าและบริการ เช่น เมเจอร์ รับเหรียญซื้อตั๋วหนัง หรือ บางจาก รับเหรียญในการแลกซื้อเครื่องดื่มร้าน Inthanin และล่าสุด เดอะมอลล์เปิดรับสินทรัพย์ดิจิทัล ใช้ Crypto Currency 7 สกุลแลกสินค้าหรือบัตรกำนัล

 

จากข้อมูลสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ณ วันที่ 29 พ.ย.2564 ระบุว่า ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วโลก มีมูลค่าตามมาร์เก็ตแคป (Market cap.) ประมาณ 2.64 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในจำนวนนี้กว่า 40.09% มาจาก Bitcoin และเมื่อเทียบกับหลักทรัพย์ ทองคำ และน้ำมัน พบว่า Ethereum ให้ผลตอบแทนที่สุดในแอสเสทคลาส เพิ่มขึ้น 510.09%

 

แต่อย่างไรก็ตาม กระแสการปรามบริษัทจดทะเบียน, ประชาชนในการใช้ Crypto Currency ในการชำระค่าสินค้าและบริการ จากหน่วยงานของรัฐที่ยังมีให้เห็นต่อ

 

ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา มีท่าทีของธนาคารแห่งประเทศไทย ว่า ไม่ได้ห้าม แต่มีความเป็นห่วงและกังวลในการนำ Crypto Currency มาใช้ในการชำระเงินค่าสินค้าและบริการ เนื่องจากมีเรื่องความผันผวนของราคาสูงมาก ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส มองว่า โดยหลักแล้ว แบงก์ชาติ มุ่งเน้นไปที่ให้น้ำหนักไปที่เหรียญบางประเภท เช่น Blank coin ที่ไม่มีสินทรัพย์หนุนหลัง อาจจะเกิดความเสี่ยงในเรื่องของการรักษามูลค่าของเงิน เห็นได้จากราคา Crypto Currency มี Market cap ใหญ่ที่สุด 5 เหรียญ ในช่วง 7 วันที่ผ่านมาปรับลง และเทียบจากจุดสูงสุดของปีนี้ถึงปัจจุบัน ปรับลงแรง คาดจะประชุมร่วมและหาแนวทางกับ กลต. เพื่อออกมาตรการดูแลในระยะถัดไป ส่วนในเรื่องของการลงทุน Crypto Currency ธปท. ประเมินว่า ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของแต่ละคน

 

ขณะที่นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย รองหัวหน้าพรรค และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ประชาธิปัตย์ เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.ว่า การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเทรนที่จะมีสัดส่วนนักลงทุนเพิ่มมากขึ้น และจะมีนวัตกรรมหลากหลายที่เชื่อมโยงกับโลกการเงิน ดังนั้น แบงก์ชาติ กลต. และกระทรวงการคลัง ควรที่จะช่วยกันพัฒนาอุตสาหกรรมนี้มากกว่าที่จะออกกฎหมายคุม หรือ ส่งสัญญาณในเชิงที่อาจจะทำให้นักลงทุนหรือคนที่อยากจะเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้มีความกังวลหรือเกิดความสับสน

 

“คืออนาคต ยังไงเทรนของโลก คนจะลงทุนและใช้สินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้นแน่นอน เพราะฉะนั้นสำหรับผมแล้วมันถือว่าเป็นโอกาสที่ดี ที่คนไทยเราประมาณ 4 ล้านกว่าคน มีบัญชีซื้อขายเหรียญสกุลดิจิทัลแล้ว ภาครัฐก็อย่าทำเป็นคุณพ่อแสนรู้มากเกินไป ต้องหันมาพัฒนาสร้าง องค์ความรู้ที่ถูกต้องที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล โดยที่ไม่ใช่มาบอกแค่ว่า เราไม่เชียร์ เราไม่ให้เป็นเงินตรา มันไม่ใช่เงินตรา หรือเราบอกความเสี่ยงสูงผันผวน อันนี้ผมว่าคนลงทุนหรือเล่นเหรียญ เค้ารู้อยู่แล้ว ทำยังไงที่รัฐจะมีองค์ความรู้ที่ถูกต้องได้”

 

นายปริญญ์ กล่าวด้วยว่า วันนี้สัดส่วนผู้ลงทุนใน Crypto Currency เป็นนักลงทุนที่เป็นวัยรุ่น ที่มองเห็นโอกาสในการลงทุน ขณะเดียวภาคธุรกิจก็ต้องมีการปรับตัวรับเทรนการเงินโลกที่มีการเปลี่ยนแปลง ระดมทุนผ่านสินทรัพย์ดิจิทัลได้

 

“และยิ่งอนาคตโลก ไปสู่โลกเสมือนจริง อนาคตการขายของ มันไม่ใช่ขายแบบเดินเจอกัน อาจจะขายมาเจอกันในโลกเสมือนจริง ที่ต้องใช้คริปโต ที่ต้องใช้พื้นที่ บนโลกเสมือนจริง คนเราก็ต้องคิด แล้วสินค้าเราจะปรับตัวอย่างไร เกิดมาเร็ว มาช้า เราเถียงกันได้ แต่มาแน่ในระยะ 5-10 ปีนี้ เดี๋ยวนี้การระดมทุน หรือหาทุน ไม่ใช่แค่ไปกู้ยืมเงินจากแบงก์ หรือ ไม่ใช่แค่ไปออกหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ไปจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ สามารถระดมทุนผ่านสินทรัพย์ดิจิทัลได้ ก็เป็นโอกาสที่จะลดต้นทุนทางการเงินด้วย และเพิ่มอิสรภาพทางการเงิน แต่ความเสี่ยงก็มี เราต้องศึกษาให้ดีก่อนที่จะเข้าใจและรับความเสี่ยงของเหรียญอันนั้น”

 

และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวบนโลกการเงิน ที่เชื่อมโยงกับความมั่งคั่ง ที่มีความเสี่ยงเป็นเดิมพันนั่นเอง

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube