คุณูปการของการรู้จัก “เว้นระยะห่าง”
ไม่ว่าโลก…หรือบ้านเรา ช่วงนี้ ดูจะยังหนีไม่พ้นต่อการที่ต้องชุลมุน ชุลเก กับเรื่องการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด ที่ทยอยเข้า ทยอยออก แบบเป็นระลอกๆ ชนิดแทบไม่รู้ว่าระลอกไหนต่อระลอกไหนอีกต่อไปแล้ว แต่ที่แน่ๆก็คือ…คงต้องอยู่ๆกันไป หรือต้องชุลมุน ชุลเก กันไปอีกยาวว์ว์ว์ แม้จะมี “วัคซีน”จากประเทศไหนต่อประเทศไหน โผล่ขึ้นมาถึง 6 ตัว 7 ตัวก็แล้วแต่ แต่อย่างที่บรรดาผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ท่านบอกเอาไว้ก่อนล่วงหน้านั่นแหละว่า ถ้าหากบรรดาพลโลกประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนเกือบ 7,000 ล้าน ยังไม่เกิด “ภูมิคุ้มกันรวมหมู่”ขึ้นมาจริงๆแล้วล่ะก็ ยังไงๆ…ก็คงต้องหมั่นสวมหน้ากาก ต้องพยายามเว้นระยะห่างเอาไว้ก่อน…
อย่างไรก็ตาม…สำหรับเรื่องการ “เว้นระยะห่าง”นั้น ในแง่ของอันตัวข้าพเจ้าเอง ต้องถือเป็น “ชิลๆ”เอามากๆ เพราะอาจถือเป็นพฤติกรรมที่คุ้นเคย คุ้นชิน อย่างน้อยก็เกือบประมาณ 2-3 ทศวรรษมาแล้วก็ว่าได้ คือหลังจากที่วางดาบ วางกระบี่ เลิกเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจ ธุรการ ในแวดวงสิ่งพิมพ์ที่เคยประกอบธุรกรรมมานานกว่า 20-30 ปี หันมาจิ้มๆทิ่มๆ เขียนโน่น เขียนนี่ แบบประเภท “ปอกกล้วยเปลี่ยวในบ้านร้าง”อยู่ตามลำพัง โอกาสที่จะใกล้ชิด ติดพัน นุงนังนัวเนียกับใครต่อใครเขา ก็เลยเป็นอันต้องสูญสลายไปโดยปริยาย หนักไปทาง “Work-From-home”มาโดยตลอด หรือทำให้เกิดการ “เว้นระยะห่าง”ไม่ว่ากับพรรคพวก เพื่อนฝูง ญาติสนิทมิตรสหาย ไปจนถึงบุคคลธรรมดาโดยทั่วไปมานานแล้ว…
และด้วยการ “เว้นระยะห่าง”ในลักษณะทำนองนี้มาโดยตลอด ก็เลยทำให้ไม่ต้องเสียเวลาใส่หน้ากาก สวมหน้ากาก เพราะไม่จำเป็นต้องออกไปไหนต่อไหน ไม่ต้องเจอกับการไอ การจาม การพ่นละอองเรณูของใครต่อใคร ซึ่งก็คงต้องถือว่า “ดีไปอย่าง”หรือไม่ถึงกับเดือดร้อน ลำเค็ญ เมื่อต้องเจอกับฉากสถานการณ์การแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงชุลมุน ชุลเก ยังเป็นอะไรที่น่าเกลียด น่ากลัว อยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้ อันนี้…จะถือเป็น “บุญ” เป็น “วาสนา” หรือเป็น “เวร” เป็น “กรรม” ก็ยังไม่อยากไปเสียเวลาคิด เพราะไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ แต่เผอิญมันชักจะคุ้นเคย คุ้นชิน จนกลายเป็นสิ่ง “ปกติธรรมดา”ไปแล้วก็ว่าได้ หรือเป็นสิ่งที่ไม่ได้ก่อให้เกิดการ “ปรุงแต่ง”อารมณ์-ความรู้สึก ไม่ว่าในแง่บวก แง่ลบใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย…
คืออันที่จริง…การไม่ถูกปรุงแต่ง หรือไม่เข้าไปปรุงแต่ง อารมณ์-ความรู้สึกใดๆ ให้มันออกไปทาง “บวก”ทาง “ลบ” ไม่ถึงกับรัก ไม่ถึงกับเกลียด ไม่อยากจะอาฆาต พยาบาท ริษยาและชิงชัง ไม่คิดจะดูดดื่ม ปลาบปลื้ม หลงใหลและชโลมเลียร์ ฯลฯใครต่อใคร หรืออะไรต่อมิอะไรทั้งหลายนั้น ต้องถือเป็น “สูตรสำเร็จ”ที่บรรดาพวกพระสงฆ์ องค์เจ้า ท่านบอกเอาไว้เป็น “เคล็ด”มานานแล้ว ว่าเอามา-เอาไป…มันอาจส่งผลให้ถึงขั้น “นิพพาน”เอาเลยก็ไม่แน่!!! โดยเฉพาะถ้าสามารถทำให้อารมณ์-ความรู้สึกที่มีสิทธิ์อุบัติขึ้นมาในทุกๆเรื่อง ทุกๆกรณี เป็นไปในแบบ “ไม่บวก-ไม่ลบ” ไม่จับกันไปเป็นคู่ๆ แบบความรู้สึกทั่วๆไปที่มักต้องมี “ด้านตรงกันข้าม”ระหว่างกันและกันเสมอๆ จนกลายเป็นอะไรที่ออกไปทาง “กลางๆ” หรือออกไปทาง “ว่างๆ”กันไปโดยตลอดแล้วไซร้ โอกาสที่จะถึงขั้น “บรรลุนิพพาน”ในวันหนึ่ง วันใด หรือวินาทีหนึ่ง วินาทีใด ย่อมเป็นไปได้อยู่แล้วแน่ๆ…
ส่วนจะจริง-ไม่จริง หรือไม่ อย่างไร…อันนั้น คงต้องไปคิดๆกันเอาเองก็แล้วกัน เพราะสำหรับ “อันตัวข้าพเจ้าเอง” แม้ว่าอาจไม่ได้นึก ไม่ได้คิด ที่จะ“ปรุงแต่ง”ในบางเรื่อง บางราว แต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่อง หลายราว ที่จู่ๆมันอาจเด้งดึ๋ง อาจก่อให้เกิดอารมณ์-ความรู้สึกแบบท่านนายกฯ “บิ๊กตู่” แบบ “บิ๊กตู่มิรู้ล้ม” หรือ “โด่มิรู้ล้ม”ขึ้นมาได้ง่ายๆอยู่บ้างเหมือนกัน ส่วนจะเป็นอารมณ์-ความรู้สึกแบบใดๆนั้น อันนี้…คงต้องไปว่ากัน “หลังไมค์”น่าจะเหมาะกว่า หรือพูดง่ายๆว่า…มันยังไม่ถึงกับ “ว่าง” ไม่ถึงกับ“กลาง”แบบที่พระๆเจ้าๆท่านสอน ท่านสั่ง ท่านชี้แนะ ชี้นำ เอาไว้เป็น “สูตรสำเร็จ”ดังที่ได้กล่าวๆไปแล้ว โอกาสที่จะไปบรรลุนิพพานแล้วเอามาเล่าสู่กันฟัง ว่ามันมีลักษณะออกไปในแบบไหน อย่างไร กันแน่ จึงอาจต้องรอไปอีกประมาณซัก 3 ชาติ 4 ชาติ หรืออาจจะ 10 ชาติ 100 ชาติ เอาเลยก็ไม่แน่ เพราะในชาตินี้ หรือ ณ ขณะนี้…ก็ยังได้แต่มึนซ์ซ์ซ์ๆ งงง์ง์ง์ๆ กับคำตอบ คำอธิบาย ถึงสิ่งเหล่านี้ ว่ามันไม่ใช่นั่น ไม่ใช่นี่ ไม่ใช่นั้น ไม่ใช่โน้น หรือไม่ใช่อะไรที่สามารถใช้คำอธิบายออกมาเป็นคำพูด คำจาใดๆได้เลย…
แต่เอาเป็นว่า…แค่ “ไม่บวก-ไม่ลบ”ในบางเรื่อง บางราว ก็น่าจะก่อให้เกิดความปลอดโปร่ง โล่งสบาย พอสมควรบ้างแล้ว โดยเฉพาะเรื่องประเภทการมง การเมือง อันเป็นสิ่งที่ทำให้ใครต่อใครสามารถ โกรธ เกลียด เคียดแค้น อาฆาต พยาบาท ริษยาและชิงชังได้อย่างเป็นเนื้อ เป็นหนัง รวมทั้งทำให้เกิดการปลาบปลื้ม ดื่มด่ำ หลงใหล และชโลมเลียร์ ได้อย่างเป็นงาน เป็นการ อันน่าจะถือเป็นสาเหตุ ต้นเหตุ หรือ “เหตุปัจจัย”ที่ออกจะเอาเรื่อง เอาราวพอสมควร ในการส่งผลให้เกิดความแตกต่าง แตกแยก ไม่คิดจะปรองดอง ไม่คิดจะสมานฉันท์ กับใครๆ หรือกับหน้าไหนต่อหน้าไหน ไปด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะถ้าหากไม่เข้าหู เข้าตากรรมการ หรือไม่เกิดการ “ปรุงแต่ง”อารมณ์-ความรู้สึกต่างๆนานา ให้ไปในทิศทางเดียวกัน แนวทางเดียวกัน โอกาสที่จะเกิดการร่อนมือ ร่อนตีน การสาดสากกะเบือบินใส่กันและกัน ย่อมเป็นไปได้เสมอๆ ไม่ว่าจะเคยเป็นญาติ เป็นพี่ เป็นน้อง หรือกระทั่งเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นเพื่อนสนิทมิตรสหาย กันและกันมาโดยตลอดก็ตาม…
เรียกว่า…บางราย แม้ถึงขั้นใกล้จะตายโหง ตายห่า เข้าไปทุกที แต่ก็ด้วยเหตุเพราะเรื่อง “การเมือง”นั่นแหละ เรื่องเดียวเท่านั้น ถึงกับพร้อมที่จะตัดญาติ ขาดมิตร ถึงขั้นไม่คิดจะเหยียบเงา เผาผี กันไปตลอดชั่วนิจนิรันดรกาล หรือจวบจนกัลปวสานเอาเลยก็ไม่แน่ ทั้งๆที่เรื่องอื่น…ก็เคย “ปรุงแต่ง”ไปในทิศทางเดียวกันมาโดยตลอด ดูหนัง ฟังเพลง ในแบบเดียวกัน รสนิยมเดียวกัน ชอบดูละคร ชอบอ่านนิยาย เรื่องสั้น วรรณกรรม ฯลฯในลักษณะเดียวกันมาโดยตลอด แต่เพียงแค่ดัน “ไม่รักธนาธร” หรือดันหันไป “รักบิ๊กตู่”ด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ อันนี้…เป็นได้เรื่อง หรือเป็นเรื่อง เป็นราว ชนิดไม่อาจเหยียบเงา เผาผีใดๆกันได้ต่อไปอีกแล้ว นี่…มันเลยออกจะเป็นอะไรที่น่าสยดสยอง น่าขนลุกขนพองมิใช่น้อย สำหรับสิ่งที่เรียกๆกันว่า “การเมือง”ในทุกวันนี้…
ดังนั้น…ก็ด้วยเหตุเพราะการ “เว้นระยะห่าง”กับใครต่อใครมาเป็น 10 ปี 20 ปี ก่อนที่ท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ท่านจะถือกำเนิดเกิดขึ้นมาซะอีก มันเลยมีส่วนช่วยในเรื่องราวเหล่านี้อยู่มั่ง ไม่มากก็น้อย คือไม่ต้องเสียเวลาไป “ปรุงแต่ง”อารมณ์-ความรู้สึกทำนองนี้เหมือนใครต่อใครเขา ไม่ว่าใครจะรัก-ไม่รัก “ธนาธร” ใครจะเกลียด-ไม่เกลียด “บิ๊กตู่”หรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่ อย่างน้อย…ก็ยังถือเป็น “เพื่อน” เป็น “มิตรสหาย”กันได้สบายๆ ชนิดแม้ไม่เคยได้เจอะหน้า เจอะตา กันมาเลย ไม่จำเป็นต้องพูดให้รู้เรื่อง หรือพูดจาภาษาเดียวกัน เอาเลยก็ยังได้ แต่ก็น่าจะยังพอเป็น “เพื่อนผู้ร่วมวัฏสงสาร”เดียวกัน ได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์ คุณูปการของการรู้จัก “เว้นระยะห่าง”โดยไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องอะไรกับเชื้อโควิดเอาเลยแม้แต่น้อย มันจึงออกจะเป็นเรื่อง เป็นราว หรือออกจะก่อให้เกิดประโยชน์อยู่บ้างตามสมควร โดยใครจะลอกแบบ เลียนแบบ ไปลองใช้ดูมั่งก็ได้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์อยู่แล้วแน่ๆ…
—————————————————————————
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่ : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews