ผู้ป่วยหนัก-ปอดอักเสบ 2 สัปดาห์ พุ่ง 2 เท่า! เน้นฉีดวัคซีนผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป ลดป่วยหนัก-เสียชีวิต
วันนี้(24 ก.พ. 65) ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วย นพ.ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ และ นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ร่วมแถลงการณ์ประเด็น สถานการณ์โรคโควิด-19 การรับวัคซีนเข็มกระตุ้น และแนวทางการดูแลรักษา สำหรับสถานการณ์โควิด-19
นพ.จักรรัฐ กล่าวว่า การแพร่เชื้อค่อนข้างรวดเร็ว แต่จำนวนผู้ป่วยหนักมีไม่เท่าเดลต้า โดยในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่ามีผู้ป่วยที่ใส่ท่อช่วยหายใจ 240 ราย และผู้ป่วยปอดอักเสบ 905 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า เป็นผลมาจากจำนวนผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ซึ่งกลุ่มเสี่ยง 608 ควรเร่งฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการป่วยหนักให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยหนักที่เพิ่มขึ้นยังเป็นเหตุให้คงการเตือนภัยระดับที่ 4 เอาไว้
การระบาดที่พุ่งขึ้นเกิดขึ้นตั้งแต่หลังเทศกาลตรุษจีนเป็นต้นมาและมีการผ่อนคลายค่อนข้างมาก ทำให้มีการแพร่ระบาดในหลายคลัสเตอร์ หลายพื้นที่ หลายจังหวัด ดังนั้นเพื่อป้องกันสถานการณ์ไม่ให้รุนแรง ขอความร่วมมืองดเข้าสถานที่เสี่ยง (สถานที่ปิดทึบอากาศไม่ถ่ายเท, คนแออัด หนาแน่น, อยู่ใกล้ชิดกันแล้วถอดหน้ากากเป็นเวลานาน, ไม่ตรวจATKก่อนใช้บริการ) ชะลอการเดินทางข้ามจังหวัด และลดการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก เพื่อ ให้สถานการณ์การเสียชีวิตพุ่งขึ้น และทุกคนปลอดภัยมากขึ้น การรับวัคซีนเข็มกระตุ้นในปัจจุบัน
นพ.โสภณ กล่าวว่า ปัจจุบันประชาชนไทยได้รับวัคซีนแล้ว 122,473,371 ล้านโดส โดยวัคซีนเข็มแรก ฉีดแล้ว 76.6 เปอร์เซ็นต์ เข็มที่ 2 ฉีดแล้ว 71.3 เปอร์เซ็นต์ และเข็มที่ 3 ฉีดแล้ว 28.2 เปอร์เซ็นต์ แต่ทั้งนี้วัคซีนจะลดประสิทธิภาพลงเมื่อฉีดไปซักพักทำให้ต้องฉีดเข็มกระตุ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป ที่แม้จะติดเชื้อน้อยกว่ากลุ่มอื่น แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตมากกว่ากลุ่มอื่นเช่นกัน โดยเปรียบเทียบจำนวนผู้สูงอายุที่ไม่ได้รับวัคซีนจำนวน 2.2 ล้านคน มีผู้เสียชีวิต 387 คน เทียบเป็น 178 ต่อล้านคน ในขณะที่ผู้สูงอายุที่ฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 มี 3.7 ล้านคน มีผู้เสียชีวิต 16 คน เทียบเป็น 4 ต่อ ล้านคน เป็นการบ่งชี้ว่าการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจะเป็นสิ่งที่ทำให้อัตราการเสียชีวิตน้อยลงได้
ด้านนพ.ณัฐพงศ์ ได้กล่าวถึงประเด็น ถ้าหากติดเชื้อโควิดจะนำเข้าสู่ระบบการรักษาของสาธารณสุขอย่างไร ยืนยันว่าถ้าผลตรวจ ATK เป็นบวก แล้วมีอาการ ย้ำว่าไม่ต้องตรวจ RT-PCR ซ้ำ สามารถโทหาสายด่วน สปสช. เบอร์ 1330 ได้เลย
แต่ทั้งนี้การรับสายอาจจะติดขัดเนื่องจากมีผู้โทรเข้ามาเป็นจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตามภาคประชาสังคมภาคเอกชนจะมีการส่งกำลังคนมาช่วยในการรับสายเพิ่ม และใช้ระบบคอมพิวเตอร์มาช่วยในการโอนสายอัตโนมัติส่งให้คลินิก ซึ่งจะช่วยให้เข้าสู่ระบบการรักษาได้เร็วขึ้น หรืออีกช่องทางหนึ่ง คือเว็บไซต์ของสปสช. หรือ คอลเซ็นเตอร์ของแต่ละจังหวัดหรือเขต หากกรณีผู้ที่มีอาการน้อยจะจัดเข้าสู่ HI เป็นอันดับแรก หากมีข้อจำกัดในการเข้า HI จะมีการจัดเข้าศูนย์พักคอย หรือ CI และหากอาการหนักขึ้นจะจัดเข้าศูนย์จัดหาเตียงและส่งเข้ารพ.ต่อไป อีกกรณีหนึ่ง หากผู้ป่วยไม่โทรหาสายด่วน สามารถมาที่ ARI Clinic เจ้าหน้าที่จะทำการคัดกรองและประเมินอาการเข้าสู่ HI ต่อไป หากคนไข้มีอาการอยู่บ้านและไม่ได้ตรวจ ATK ก็เข้า ARI Clinic ได้เช่นกัน
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews