ในจังหวะ“โควิด”ยังรุม และฝ่ายค้านกำลัง“ลับมีด”รอ“ซักฟอกลุง”กลางเดือนกุมภาพันธ์ ก็มีเรื่อง“ดราม่า”เกี่ยวกับ“เบี้ยยังชีพคนชรา”ที่เกิดจากปัญหา“เออร์เล่อร์”ของ“กลไกรัฐ”ให้ไปทวงหนี้ย้อนหลังนับสิบปีกับ“พ่อแก่แม่เฒ่า”ที่ทำท่าว่าจะบานปลายเพราะเริ่มมีเคสลักษณะเดียวกันผุดขึ้นมาหลายจังหวัดนับสิบราย หลังจากเมื่อวาน(26ม.ค.)“ลุง”เพิ่งให้ฝ่ายเกี่ยวข้องโดยเฉพาะ“กรมบัญชีกลาง” รวมถึงผู้เกี่ยวข้องไปตรวจสอบ เคสของ คุณยายบวน อายุ 89 ปี ชาวจ.บุรีรัมย์ ที่ถูกกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ให้ อบต.ไปเรียกเก็บเบี้ยผู้สูงอายุคืนย้อนหลัง 10 ปี จำนวน 84,400 บาท ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลายปีที่แล้ว แต่ปัจจุบันมีการเชื่อมโยงต่างๆจากกรมบัญชีกลางแล้ว และปัญหาแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป ซึ่งมีการพบปะหารือพูดคุยกับผู้ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว ส่วนจะแก้อย่างไรได้ให้กระทรวงการคลังดูแล เมื่อมีปัญหาก็ต้องตรวจสอบ ระเบียบว่าอย่างไรก็ไปเจรจากัน
น่าสนใจว่าเคสของ“ยายบวน โล่สุวรรณ” วัย 89 ชาวบุรีรัมย์ นั้นเมื่อไปดูไส้ใน ตามที่กรมบัญชีกลางมีการระบุว่า “ยายบวน”ได้รับ “บำนาญพิเศษ”จาก“ลูกชาย”ที่เป็น“ทหาร”ซึ่งเสียชีวิตจากเหตุคลังแสงโคราชระเบิด เมื่อปี 2544 โดยต่อมาปี 2552 ที่เริ่มมีการจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุ “ยายบวน”ก็ได้รับเบี้ยผู้สูงอายุ และ 11 ปีต่อมา ในปี 2563 ก็ถูก อบต.เจริญสุข ที่ถือหนังสือของกรมบัญชีกลางไปเรียกคืนเบี้ยผู้สูงอายุย้อนหลัง 10 ปี รวมเป็นเงิน 84,000 บาท โดยต้องให้คืนภายใน1ปี จะไม่คิดดอกเบี้ย แต่หากเกิน 1 ปีจะคิดดอกร้อยละ 7.5 ที่ประเด็นของ“ยายบวน”มีการอ้างจากฝ่ายเกี่ยวข้องอย่างที่“ลุง”อธิบายคือเนื่องจากแต่ก่อนไม่มีการซิงก์ข้อมูลระหว่าง“คลัง”กับ“มหาดไทย”ทำให้เกิดความซ้ำซ้อน โดยบอกว่า“ยายบวน”ก็ไม่ควรจะไปขอเบี้ยคนชราอีก และอาจเข้าข่ายแจ้งเท็จเจ้าหน้าที่ เพราะในใบที่เซ็นชื่อในช่วงท้ายมีการระบุว่าขอยืนยันว่าข้อมูลเป็นความจริง
น่าสนใจว่าไม่ใช่มีแต่เคสของ“ยายบวน”ที่โดนมวงเงินย้อนหลัง 10 ปี ยังมีเคสคนชราอีกหลายรายที่โดนลักษณะเดียวกัน โดยบางรายมีการเสียชีวิตและภาระการใช้หนี้ตกกับลูกหลาน ซึ่งเริ่มมีหลายฝ่ายออกมาวิจารณ์แล้วว่ากรณี“ความผิดพลาด”นี้อยู่ที่ใครระหว่างราชการกับคนชราชาวบ้าน ซึ่งว่ากันว่ามีทนายท่านหนึ่ง“จับประเด็น”ได้จากการไปตรวจสอบพบว่า ในหนังสือของกรมบัญชีกลางที่ส่งให้ อบต.เจริญสุข กรณี“ยายบวน”นั้นมีการระบุว่า “ยายบวน”ได้รับ “บำนาญพิเศษ”จาก“ลูกชาย”ที่เป็น“ทหาร”ซึ่งเสียชีวิตจากเหตุคลังแสงโคราชระเบิด ที่เมื่อไปดูระเบียบการจ่ายเงินเบี้ยผู้สูงอายุของกระทรวงมหาดไทยที่ระบุข้อต้องห้ามว่า ห้ามเฉพาะ“บำนาญพิเศษ” ซึ่งกรณี“ลูกชาย”ของ“ยายบวน”นั้นเป็นการเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ ที่ตามกฎหมายใช้คำว่า“บำเหน็จตกทอด”หรือ “บำนาญตกทอด” เป็นวิธีการจ่ายครั้งเดียวหรือจ่ายรายเดือน โดยกรณีนี้เป็น“บำนาญตกทอด”เป็นคำบัญญัติในกฎหมาย เป็นคำที่บอกถึงผู้มีสิทธิได้รับว่าคือใคร “ยายบวน”ไม่ใช่เป็นได้รับโดยตรง แต่มีสิทธิได้รับโดยการ“ตกทอด” เมื่อเรื่องนี้เป็น“ตกทอด”แล้วจึงไม่ใช่“บำนาญพิเศษ”ที่มีความหมายที่ราชการทหารตำรวจให้กับกรณี“ทหารตำรวจ”ที่ปฏิบัติหน้าที่แล้วได้รับบาดเจ็บพิการแต่ไม่เสียชีวิต ดังนั้นข้อระเบียบมหาดไทยเรื่องเบี้ยชรา จึงไม่ครอบคลุม “บำนาญตกทอด” จึงไปเรียกเงินคืนไม่ได้
ที่น่าสนใจคือหากมีการยึดตามหนังสือของ“กรมบัญชีกลาง”ที่ตีเคส“ยายบวน”ว่าเป็น“บำนาญพิเศษ”จะส่งผลกระทบไปถึงพ่อแม่ของทหารตำรวจที่เสียชีวิตทั่วประเทศ ซึ่งทนายบอกว่าเป็นการส่งผลกระทบขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่และผู้สูญเสียแน่นอนหากรัฐบาลไม่รีบเคลียร์ให้ชัด เพราะเริ่มมีเคส“พ่อแก่แม่เฒ่า”ออกมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆแล้ว
ทั้งหมดทั้งมวลต้องติดตามต่อว่า“ลุง”จะจัดการเคสนี้แบบให้ลงเอยด้วยดีอย่างไร ก่อนที่สถานการณ์จะบานปลายจนถูก“ฝ่ายค้าน”เอาไปขยาย หรือจน เกิดภาพ“ม็อบคนแก่”ออกมาฟ้องความเออร์เล่อร์ของ“กลไกรัฐ”และสะท้อนไปถึงการบริหารจัดการของ“ลุง”ที่ต้องรับ“หน้าเสื่อ”รับผิดชอบดูแลทุกคนในประเทศนี้ไม่ว่าเด็กหรือคนชรา
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่ : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews