นายกฯ ยืนยันกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโดแปซิฟิกIPEF ทุกข้อตกลงต้องผ่านความเห็นชอบครม. ตอกกลับคนปั่นอัตราเงินเฟ้อไทยสูง บอก อยู่ในกลุ่มต่ำ ชี้เศรษฐกิจประเทศกำลังฟื้นตัวช้าๆ ไม่ใช่ชะลอตัว
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังการเข้าร่วมกิจกรรมเปิดตัวกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด – แปซิฟิก (Indo-Pacific Economic Framework: IPEF)ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยมีโจเซฟ โรบิเนตต์ ไบเดิน จูเนียร์ ประธานาธิดีสหรัฐฯ และนายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นร่วม
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีระบุว่า วันนี้เป็นกิจกรรมเปิดตัวกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโดแปซิฟิก? IPEF จัดตั้งกลไกความร่วมมือในระดับพหุภา เพื่อสร้างความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก เพื่อที่จะขับเคลื่อนยกระดับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน เสริมสร้างความร่วมมือที่มีศักยภาพ เพื่อรับมือกับความท้าทายความเสี่ยงใหม่ๆ ซึ่งกรอบความร่วมมือมีอยู่ 4 เสาหลัก
คือการค้าห่วงโซ่อุปทานพลังงานสะอาด การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โครงสร้างพื้นฐานและภาษีรวมไปถึงการต่อต้านการทุจริต โดยเรื่องนี้หลายคนเป็นห่วง จะพยายามทำอย่างเต็มที่ ในทุกกรอบความร่วมมือก็รวมทั้งหมดอยู่แล้วเพื่อให้เกิดห่วงโซ่อุปทานร่วมกัน อย่างระมัดระวัง ยืนยันว่าไม่มีผลเกี่ยวกับเรื่องอื่นๆทั้งสิ้น
แล้ววันนี้เป็นเพียงการเปิดตัวเท่านั้นต่อไปในเรื่องที่จะมีข้อตกลงจะต้องพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ดำเนินการทุกอย่างเป็นกระบวนการทั้งหมด ซึ่งร่างกายแถลงได้นำผ่านที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรียังระบุถึงประเด็นด้านเศรษฐกิจ ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา เศรษฐกิจเติบโตได้ร้อยละ 2.2 ซึ่งปัจจัยสำคัญ ดูได้จากปัจจัยการใช้จ่ายของประชาชนที่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.9 ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากโครงการของรัฐบาล ส่งงบประมาณเข้าไปในการดูแลทั้งมาตรการคนละครึ่งเราเที่ยวด้วยกันและอื่นๆ รวมถึงการส่งออกเติบโตร้อยละ 12 ปัจจุบันนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศ หลังจากที่มีการยกเลิกมาตรการ Test and Go ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 18 พฤษภาคม มีจำนวนนักท่องเที่ยว 1.02 ล้านคน
ซึ่งประมาณการไว้ว่าปี 1 จะสามารถนำนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศได้ 7 ล้านคน หากไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 เพิ่มเติม
นอกจากนี้? ภาคการลงทุนมีการลงทุนเพิ่มขึ้น ร้อยละ2.9 ส่วนภาครัฐอยู่ที่ไตรมาส 2 ของการเบิกจ่ายงบประมาณ เป็นช่วงเริ่มต้นของการก่อสร้าง หลังจากลงนามในสัญญาไตรมาส 1
ส่วนเรื่องอัตราเงินเฟ้อ หลายคนก็เป็นห่วงซึ่งรัฐบาลเองก็มีความเป็นห่วง โดยมีอยู่ 2 ปัจจัยคือราคาน้ำมัน รัฐบาลก็เข้าไปช่วยในเรื่องค่าขนส่งไปแล้ว ราคาหมวดอาหาร ซึ่งทั้งสองเรื่องก็ได้ให้ใช้มาตรการการลดภาษีสรรพสามิต และภาษีสรรพากรต่างๆ เพื่อที่จะช่วยเหลือต้นทุนการค้าปลีก โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามหน้าที่ ยอมรับว่าทุกประเทศเดือดร้อนเหมือนกันหมด แต่รัฐบาลจะดูแลอย่างเต็มที่
ขณะที่กำลังซื้อของภาคประชาชน ค่าเงินบาทอ่อนตัว ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการส่งออกของไทย สินค้าเกษตรปีนี้ราคาดีไม่ว่าจะเป็นยางปาล์มข้าวโพด ซึ่งราคาข้าวก็ยังทรงตัวอยู่เนื่องจากมีซัพพลายล้นตลาด ซึ่งกำลังซื้อภาคชนบทก็ยังคงดีอยู่ ดูจากยอดขาย และอื่นๆอีกหลายอย่าง หากมองเศรษฐกิจตอนนี้ อยู่ในช่วงฟื้นตัวเองอย่างช้าๆไม่ถือว่าชะลอหากเทียบเฉพาะ
ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ซึ่งต้องรักษาสมดุลตรงนี้เอาไว้ให้ได้ เพื่อจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่อง ผู้ที่ทำงานก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยรัฐบาลมีความพยายามรักษาอัตราเงินเฟ้อ ให้ต่ำกว่า 5% ซึ่งก็มีคนเอาไปพูดไปบิดเบือนว่า เรามากกว่าเขา? อะไรมากกว่าเขา เราอยู่ในกลุ่มที่ต่ำสุด แล้วเราจะต้องกำกับดูแลราคาสินค้าให้ได้มากที่สุด
ส่วนเรื่องดอกเบี้ยนโยบายต่างๆธนาคารแห่งประเทศไทย กำลังพิจารณาดู เพื่อรักษาช่วงเอาไว้ให้ได้ สิ่งสำคัญคือถ้ายังมีเงินลงทุนไหลเข้าโดยตรงกว่า 40,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามความเสี่ยงตรงรายได้เข้าประเทศ คือธุรกิจและประชาชนโดยเฉพาะไตรมาส 2 และ 3 เราเข้าใจดีและทำให้เป็นเหตุผลที่จะต้องเร่งผ่อนคลายมาตรการ โควิด 19 เพื่อเด็กนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้เดินทางเข้าไทยให้ได้มาก ต้องถามนักท่องเที่ยวภายในประเทศเนื่องจากยังพอมีเวลาในตอนนี้ จนถึงช่วง High Season ช่วงปลายปี หลายเรื่องดำเนินการไป
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews