“หมออุดม” ยันนายกฯไม่ขัดข้อง เตรียมยุบศบค.-ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน 1 ต.ค.นี้ รับปรับโควิดเป็นโรคเฝ้าระวัง
นพ.อุดม คชินทร ที่ปรึกษาศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. ระบุถึงกรณีการปรับโควิด-19 เป็นโรคเฝ้าระวัง ในวันที่ 1 ต.ค.นี้จำเป็นต้องยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินออกหรือไม่ ว่าขณะนี้สถานการณ์ เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น หากดูจากจำนวนผู้ป่วยที่เข้าในระบบ
จะมีประมาณวันละ 2,000 คน ส่วนคนไข้ ATK ในระบบ วันละประมาณ 30,000 คน และคาดว่ามีคนไข้ที่ไม่เข้าในระบบ ประมาณ 1-2 เท่า ทำให้ภาพรวมขณะนี้ มีคนไข้ประมาณ 60,000 คน ซึ่งอยู่ในระดับนี้มาประมาณ 1 เดือนแล้ว
และคาดว่าหลังวันที่ 1 ต.ค.นี้จะลดลง ทำให้จำนวนผู้ป่วย ที่เข้าในระบบโรงพยาบาลประมาณ 1,000 คนต่อวัน และยอดผู้เสียชีวิตก็ลดลง ก็จะเข้าข่ายเป็นโรคเฝ้าระวัง แต่ยังไม่ใช่โรคประจำถิ่น ซึ่งการปรับไปเป็นโรคประจำถิ่นต้องรออีกระยะหนึ่ง
ทั้งนี้นายแพทย์อุดม ย้ำว่า การสวมหน้ากากอนามัยยังเป็นเรื่องที่จำเป็น โดยการประชุมในวันนี้จะมีการพิจารณาในประเด็นกรอบนโยบายในช่วงเปลี่ยนผ่าน ตั้งแต่เดือนก.ย.-ต.ค.เป็นต้นไปพร้อมยอมรับว่าขณะนี้ การเข้าถึงสถานพยาบาลค่อนข้างลำบาก การได้รับยามีปัญหาเรื่องการพบหมอและการได้รับยา ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะมีการเสนอต่อที่ประชุม ในเรื่องการเข้าถึงระบบการรักษา
นพ.อุดม ยืนยันว่าขณะนี้มีปริมาณยาที่เพียงพอ ขอประชาชนไม่ต้องกังวล ส่วนการที่ประชาชนไปรับสาบบางสถานพยาบาลแล้วไม่ได้รับยาเป็นเรื่องของการบริหารจัดการ เพราะมีการกระจายยาไปทั่วประเทศ แต่ยืนยันว่า ขณะนี้ยังมีปริมาณยาที่เพียงพอขออย่ากังวล ทั้งฟาวิพิราเวียร์ และโมนูลพิราเวียร์ และในวันที่ 1 ก.ย.นี้ก็จะมีการเปิดให้คนไข้เข้ารับยาที่ร้านยาในเครือข่ายได้ตามใบสั่งแพทย์ ส่วนคลินิกหรือโรงพยาบาลเอกชน ขณะนี้สามารถทำได้อยู่แล้ว
ขณะที่การฉีดวัคซีน แม้หลายคนเข้าใจว่า โรคมีอาการไม่รุนแรง แต่อยากให้เข้าใจว่าสายพันธุ์ บีเอ4 บีเอ5 ยังมีความรุนแรงของเชื้อเท่าเดิม เพียงแต่คนฉีดวัคซีนไปเยอะทำให้มีภูมิต้านทานในร่างกาย ส่วนความเข้าใจที่บอกว่าเพื่อนติดกันหมดแล้วอยากติดด้วยตนมองว่าเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง
เนื่องจากการไม่ติดเชื้อดีที่สุดเพราะหากติดเชื้ออาจทำให้เสียชีวิตได้ และหากมีอาการลองโควิดก็จะส่งผลต่อร่างกายในระยะยาว รวมถึงทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ดังนั้นจึงต้องให้ความสำคัญกับการฉีดวัคซีน โดยเฉพาะ Booster dose เข็ม 3 และเข็ม 4 พร้อมกับระบุว่าเข็ม 5 นั้นยังไม่จำเป็นเนื่องจากต้องเป็นกลุ่มบุคลากรด้านหน้า
ส่วนกรณีที่ 1 ต.ค.65 ไม่จำเป็นต้องใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วนั้น หน่วยงานศบค.ก็จะหายไปพร้อมกัน แต่จะต้องมีการเสริมความเข้มแข็งในพ.ร.บ.โรคติดต่อโดยจะต้องมีหน่วยงานคล้ายกับศบค.เข้ามาดู เพราะเรื่องโรคระบาดไม่ได้ขึ้นอยู่กับกระทรวงสาธารณสุขเพียงกระทรวงเดียว ยังมีกระทรวงมหาดไทยกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน และกรุงเทพมหานคร
ซึ่งแต่ละหน่วยงานก็มีกฎหมายของตัวเอง จึงต้องมีหน่วยงาน คล้ายคลึงกับศบค.เกิดขึ้น แต่อำนาจจะไม่แรงเท่าศบค.เดิม พร้อมกับยังระบุอีกว่าการยุบศบค.สามารถทำได้ทันทีโดยไม่ต้องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแต่อย่างใด
โดยนพ.อุดม ยังระบุอีกว่า การยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน และยุบศบค. ในวันที่ 1 ต.ค.นี้ ได้แจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบในเบื้องต้นแล้ว
นอกจากนี้จะมีการหารือในที่ประชุมวันนี้คือทุกคนต้องกลับมาดูแลตัวเอง เนื่องจากโควิดจะไม่หายไปภายในปีนี้ โดยทุกคนจะต้องสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆรวมทั้งประเมินตัวเองว่ามีความเสี่ยง หากสงสัยว่ามีความเสี่ยง ให้ตรวจ ATK และแยกตัว
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews