รถไถ เพื่อนแท้คู่ใจเกษตรกรทั่วโลก มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน โดยเริ่มต้นจากการใช้ปรับหน้าดินและพรวนดิน แล้วจึงถูกพัฒนาให้มีความสามารถที่หลากหลายมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น หว่านปุ๋ย ถางไร่ ฉุดกำลังเครื่องสูลน้ำเข้าแปลงเกษตร ไปจนถึงการใช้ลากอุปกรณ์การเกษตรชนิดต่าง ๆ แทนการใช้วัวควายเหมือนในสมัยก่อน รถไถจึงถือเป็นหัวใจหลักของการทำการเกษตรเลยก็ว่าได้ และวันนี้เราจะมาเจาะลึกเรื่อง “ยางในรถไถ” ส่วนประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ในรถไถทุกรูปแบบกัน
ยางในรถไถมีกี่แบบ?
เราสามารถแบ่งประเภทของยางที่ใช้สำหรับรถไถตามประเภทของยางในได้ 2 แบบด้วยกัน ได้แก่
- ยางผ้าใบหรือ Bias เป็นยางที่ยางในผลิตจากผ้าใบ มีลักษณะโค้ง เกิดจากการนำผ้าใบมาประสานกันหลายชั้นจนหนาขึ้น แต่ในปัจจุบันผู้ผลิตส่วนใหญ่เปลี่ยนวัสดุยางในจากผ้าใบมาเป็นไนลอนแล้ว
- ยางเรเดียล เป็นยางชนิดที่ใช้โครงสร้างที่ทำมาจากเส้นลวด หน้ายางเรียบ ไม่โค้งมน ด้วยความที่ทำจากลวดจึงทำให้ยางเรเดียลมีความแข็งแรงกว่ายางผ้าใบ ตะกุยหน้าดินได้ดีกว่า แต่ก็มีราคาที่สูงกว่าด้วยเช่นกัน
นอกจากจะแบ่งตามประเภทของยางในรถไถได้แล้ว เรายังสามารถแบ่งตามประเภทของดอกยางได้อีกด้วย โดยส่วนมาก ดอกยางของรถไถจะมีอยู่ 3 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ
- ดอกยางแบบไถ 2 ร่องและ 3 ร่อง มักใช้กับรถไถหรือรถแทรกเตอร์เพลาเดียว (ขับเคลื่อน 2 ล้อ) ออกแบบมาให้ใช้งานกับพื้นผิวเรียบ ใช้งานบนท้องถนนและบังคับเลี้ยวได้ดี เหมาะกับงานลากมากกว่าไถพรวนหรือไถนา และจะใช้กับล้อหน้าของรถไถเท่านั้น
- ดอกยางแบบก้างปลา ดอกลึก เหมาะกับการใช้งานในนา พื้นที่เป็นโคลนเลน ดอกยางมีขนาดหนาและสูง เพื่อให้เกิดแรงกรุยโคลนได้ดี ป้องกันการติดหล่มระหว่างใช้งาน
- ดอกยางแบบก้างปลา ดอกตื้น ใช้งานได้ทั้งกับบริเวณที่พื้นผิวแห้งและเปียก แต่ไม่เป็นโคลนเลน เช่น ในไร่ ในสวน เหมาะกับงานไถพรวน ไถบุกเบิก ปรับหน้าดิน รวมทั้งวิ่งบนท้องถนน กรุยดินและโคลนได้ดี
ยางในรถไถเติมลมเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม?
โดยปกติ ล้อหน้าของรถไถจะเติมลมอยู่ที่ 25-28 ปอนด์ ส่วนล้อหลังควรเติม 28-30 ปอนด์ แต่หากต้องติดตั้งอุปกรณ์ที่มีน้ำหนักเยอะทั้งล้อหน้าและล้อหลัง ควรเติมลมยางเพิ่มอีก 2-3 ปอนด์เพื่อให้รับน้ำหนักได้ดีขึ้น
ถึงแม้ว่ายางในรถไถจะเป็นองค์ประกอบสำคัญ เพราะเป็นที่เก็บลมยาง แต่ในยางบางรุ่นที่มีข้อความว่า Tubeless เขียนอยู่ แปลว่ายางเส้นนั้นไม่มียางใน สามารถเก็บลมยางไว้ได้ด้วยตัวเองนั่นเอง
