Home
|
บันเทิงไทย

ฟังจากปาก “ม้า อรนภา” ขอโทษดารารุ่นน้อง แค่แตะสั่งสอน พรุ่งนี้นัดเคลียร์ใจ

Featured Image
ฟังจากปาก “ม้า อรนภา” ตั้งโต๊ะแถลงตบหน้าดารารุ่นน้อง  ขอโทษ-เสียใจ  แค่แตะสั่งสอน จ่อเจอหน้าเคลียร์ใจพรุ่งนี้

 

หลังจากเป็นประเด็นที่หลายคนติดตามและให้ความสนใจ พร้อมรอฟังความจริงอีกด้านจากปากของ ดารารุ่นใหญ่ “ม้า อรนภา” ที่นัดสื่อตั้งโต๊ะแถลงข่าวเปิดใจเคลียร์เป็นครั้งแรก ทันทีที่จบทริปเกาหลีเดินกลับมาถึงประเทศไทย ปมตบหน้าดารารุ่นน้อง เพราะไม่พอใจที่ชวนไปกินปู แต่ถูกปฏิเสธ โดย “ทนายตั้ม ษิทธา” ยังได้มีการโพสต์คลิปหลักฐานให้เห็นแบบจะๆไปก่อนหน้านี้ ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์มากมาย

ล่าสุด “ม้า อรนภา” ได้เปิดใจถึงเหตุการณ์ดังกล่าว โดยได้ระบุว่า อันดับแรกต้องขอบคุณที่เชื่อฟังไม่ไปที่สนามบิน เพราะเมื่อคืนเครื่องดีเลย์จะดึกมาก จะพูดในส่วนพาร์ทของตนทั้งหมดว่าเป็นยังไง มีกำลังใจเยอะมาก ตั้งแต่ตอนที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น สิ่งหนึ่งที่ได้ทำคือได้พยายามเขียนและคิดว่าจะโพสต์ แต่พอมาคิดดูอีกทีและมีคนที่ให้ความคิดเห็นข้างๆพี่ตลอดเวลา บอกว่าอย่าเพิ่ง แต่วันนี้จะอ่านสิ่งที่อยากจะโพสต์ให้ได้ฟังก่อน ก่อนอื่นต้องขอโทษ เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เสียใจมาก ยอมที่จะรับผิดตรงนี้แน่นอน และได้ขอโทษน้องไปแล้ว และได้ปรับความเข้าใจหมดทุกอย่าง จนกระทั่งน้องเข้าใจ

 

แต่ไม่ทราบว่าน้องมีบางอย่างติดคาใจเขาอยู่เลยทำให้มีการไปปรึกษาทนายหลายคน ซึ่งหลังจากที่เกิดขึ้นเรื่อง ยังใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันหลายวันมาก จนกระทั่งวันหนึ่งมีการนำเสนอเรื่องราวขึ้นมา และพยายามจะติดต่อน้องทันทีแต่ไม่สามารถติดต่อได้ จนกระทั่งต้องติดต่อกับ ผู้จัดการคนเก่าของเขา พอได้พุดคุยกับเขา ก็ตกใจกับข่าวที่นำเสนอมาก และน้องเองก็ไม่กล้ามาเจอหลังจากมีข่าว แล้วก็ได้มาเจอกันในวันที่ 29 พอกลับถึงเมืองไทยจะพูดคุยผ่านสื่อ ถึงรายละเอียดให้รอฟังจากเราทั้ง 2 คน

 

สิ่งหนึ่งที่ต้องขอโทษคุณพ่อ คุณแม่ของเขา ขอโทษในสิ่งที่พี่ทำผิดและทำให้ทุกคนผิดหวังในตัวพี่ แต่อยากให้รับฟังจากปากเราทั้งสองคน อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจว่าอะไรเกิดขึ้น แต่สุดท้ายต้องยอมรับกับผลที่ตามมา นี่คือสิ่งที่เขียนไว้เพื่อจะนำไปโพสต์ แต่ไม่โพสต์ เพราะคิดว่าน่าจะเงียบไว้ก่อน ในขณะที่มีกระแสรุนแรงเยอะแยะมากมาย ไม่รู้จะตอบโต้มากมาย

 

รู้จักผ่านผู้จัดการส่วนตัวคนเก่า ได้มีการปรึกษาแพทย์เรื่องการทำศัลยกรรม แต่ยังไมได้มีการวางเงินมัดจำใดๆ วันหนึ่ง ผจก.ว่าน้องจะไปแล้ว น้องก็ติดต่อมา ตนก็จัดการก็ทำตามขั้นตอนติดต่อทางฝั่งเกาหลี บอกไฟล์ทและรายละเอียด แต่อีกฝ่ายอยากไปเที่ยว ก็อยากให้ตนพาไปเที่ยวด้วย ตนก็ไม่ได้มีปัญหาเพราะเข้าทางอยู่แล้ว เพราะต้องดุแลอย่างครบถ้วนอยู่แล้ว ตั้งแต่ก่อนทำ ทำ และหลังทำ จัดสรรทุกอย่าง เพื่อไม่ให้เสียชื่อเสียง และได้มีการถามผู้ร่วมทางด้วยตลอดเวลา ซึ่งเขารู้หมดแล้วว่าจะต้องไปไหน เพราะเขาไปในฐานะลูกค้า  น้องพลาดไฟล์ทบินเดียวกันเพราะจองตั๋วช้า

 

ช่วงเย็นนัดทานอาหารค่ำกัน พูดคุยตอนทานข้าว ถามว่าอยากไปเที่ยวไหน ทำอะไร โรงแรมอยู่ใกล้วัด ซึ่งตนจะพาลูกค้าไปไหว้พระเสมอ ก็ชวนไปนั่นนี่ และชวนไปกินปู เพราะรู้จักกันร้านและทุกครั้ง ทุกครั้งจะแฮปปี้มาก ซึ่งน้องก็โอเค อยากกินปู ก่อนออกจากโรงแรมก็ต้องทำหน้าที่ให้สมบูรณ์แบบ เพราะร้านปิดเยอะมาก โรงแรมิดเยอะมาก หลังจากนั้นต้องให้ทางโรงแรมที่พักโทรเช็คว่าวันจันทร์เปิดไหม สุดท้ายเราจะไปจบกันที่กินปู เพราะวันรุ่งขึ้นน้องต้องเข้าผ่าตัดแล้ว ก็ต้องไปกินเร็วหน่อย เนื่องจากต้องมีการงดอาหารและน้ำ ทุกอย่างเรารู้หมดและอธิบายให้น้องเข้าใจ จึงรีบไปกินกันเร็วหน่อย ซึ่งฝั่งตรงข้ามมีหอสมุด น้องก็อยากไป แต่ก็เปลี่ยนไปโซลทาวเวอร์แทน น้องก็ถ่ายรูป เดินเล่น ยังบอกจะถ่ายรูปให้ ขณะนั่งดูวิว น้องก็บอกว่าเดี๋ยวเราแยกกันไหม น้องก็บอกว่าเกรงใจ เราเริ่มเรียนรู้ว่าดิฉันเป็นหญิงแก่ เขาเป็นวัยรุ่น ความชอบก็จะต่างกัน ทางเราก็เริ่มเรียนรู้และปรับให้ดีที่สุด เราก็บอกว่าไม่ต้องเกรงใจ

 

หลังจากนั้นก็ปล่อยให้เขาไปเดินเล่น ทางเราก็นั่งคุยโทรศัพท์ นั่งเล่นไป และรู้ว่าเขาจะต้องหิว ก็สั่งของกินไว้ให้ เราก็ถามว่าช็อปหมดตลาดมั้ย เขาก็ถ่ายรูปมาให้ แล้วบอกว่าเดี๋ยวกำลังจะกลับมาแล้ว เดี๋ยวมาหา พอเขาทานเสร็จ เราก็ถามว่าซื้ออะไรมาบ้าง เครื่องสำอางหนักนะ เสื้อผ้า รองเท้า ก็กำลังจะไปขึ้นเขาก็อยากได้รองเท้าเหมือนกัน เขาก็บอกพาไป เราก็ถามเขาตลอดว่าไหวมั้ย เขาก็บอกไหวครับ ขณะที่หิ้วไป ถ้าอยู่เมืองไทยรู้จักคนเยอะมาก จะได้ฝากได้ ก็ให้เขาถ่ายรูปให้ ก้ถามเขาอีกว่าไหวมั้ย เขาก็บอกไหว ก็เดินไปร้านรองเท้า ก็ซื้อของ เลือกรองเท้า จ่ายเงินเสร็จเรียบร้อย จะต้องไปกินอาหารกัน ก็ลุกขึ้นมา และเขาพูดว่า ไม่ไปกินปูแล้วนะ ดิฉันก็บอกว่า จะบ้าหรอ ก่อนหน้านี้ก็เคยตีเขาเบาๆว่าอย่ากดดันนะ ให้ฟัง และสอนเขาหลายเรื่องมาก พอบอกว่าไม่ไปกินปูแล้วก็ตกใจมาก เพราะเราวางแพลนไว้แล้ว ไม่ได้โมโห คือหนึ่งมือไว ต้องฟังก่อนอย่าพูดอย่างเดียว เหมือนอันนี้ตั้งใจไว้ตลอด แต่มาบอกว่า ไม่ไปกินปูแล้วนะ

 

เขาก็มีปฏิกิริยาทันที เขาก็แบบตบหน้าผมเลยหรอ เราก็ขอโทษ เราก็เดินไปจับเขาไว้ เขาก็โมโห เราก็ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ ที่ทำตกใจว่าอยู่ๆว่าทำไมก็เปลี่ยน ถ้าไม่ไปก็ต้องบอกล่วงหน้า และเราถามย้ำเขามาตลอดว่าไหวมั้ย   ไม่ถึงตบแค่แตะ ไม่ได้โมโห เขาก็โกรธมาก และให้ปล่อย เราก็รู้สึกเสียใจมาก เราก็เดินตามไป เขาไปยืนริมถนน รอก็รอให้เขาสงบสติอารมณ์ พักใหญ่พอสมควร เราเลยค่อยๆเดินเข้าไปจับมือเขาและขอโทษเขา ไม่ได้ตั้งใจเลย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือตกใจ เพราะถามแล้ว ถามมาตลอด และไม่ได้มีการปฏิเสธทั้งสิ้น แล้วอยู่ๆมาบอกแบบนี้ไม่ได้นะ

 

เพราะที่สำคัญการที่เราอยู่กับใคร ต้องอยู่กันคนละครึ่ง แล้วก็เป็นคนมือไว และมันอันตรายเหมือนกันที่เราต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เรานัดหมาย แต่เราจะพูดขอโทษตลอด เพราะเรารู้สึกไม่ดีมากๆ และบอกว่าเรื่องนี้เขาจะไม่บอกใคร แม้กระทั่งผู้จัดการ ดิฉันก็จับมือและฟังเขา จนกระทั่งทุกอย่างมีความเข้าใจประณีประณอมทุกเรื่อง เขาก็บอกว่าจริงๆแล้วเขาเคารพเรามากนะเพราะสอนเขาหลายอย่าง และเข้ามากอดกัน แล้วเขาก็บอกว่าไปกินปูกันครับ ดิฉันก็โอเคไป ขณะที่จะไปกินปูก็มีการพูดคุยกันหลายเรื่องมากมาย หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไป เพราะว่าวันรุ่งขึ้นต้องเข้าผ่าตัด แต่ในใจก็คิดว่าเขาน่าจะไปเที่ยวแน่เลย แต่เราก็ไม่ได้ไปรบกวนเขา ตอนเช้าก็โทรไปปลุก เราก็ถามเขาว่าเมื่อคืนไปเที่ยวมาไหม เขาก็บอกว่าไป แต่ไม่ได้กินน้ำหรืออะไร ก็จัดการเสร็จเรียบร้อยส่งเข้าห้องผ่าตัดและกลับมารับ เขาก็ไม่ได้มีอาการแย่มาก เพราะเขาทำแค่จมูก ตนก็ดูแลทุกอย่าง จนถึงวันนัดล้างแผลก็ยังคุยกันปกติ และเขาบอกว่าเจอกันวันที่ 29 ก็ถามเขาว่าจะไปไหน

 

หลังจากนั้นก็ทักไปถามผู้จัดการเขาว่าน้องเป็นยังไง ผู้จัดการเขาก็โทรมา เพราะเขาไม่ได้ดูแล้ว เพราะเพิ่งทะเลาะกันไป เพิ่งรู้ว่าเป็นเด็กของพี่ปิ๊ก แต่ก็ไม่ได้ดุแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไร ก็พยายามจะประคับประครองไป และวันนั้นกำลังจะไปทำหน้า ก็มีคนส่งข่าวมาให้ ผู้จัดการโทรมาบอกว่าให้รีบออกมาจากประเทศเกาหลีเดี๋ยวนี้ เพราะเขาคงไปแจ้งความ ก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น ก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะบอกเองว่าจะไม่บอกใคร ทางเกาหลีก็ไม่ได้มีการติดต่ออะไรมา ก็มีทัวร์มาลง ซึ่งดิฉันก็ชินแล้วค่ะ เพราะเจอมาทั้งชีวิต จนกระทั่งมีคลิปออกมา ก็ยังใช้ชีวิตปกติ เพราะเราก็ต้องปล่อยน้องเขาไปแล้ว

 

จากภาพที่เกิดขึ้น เขาคงได้รับการบอกเล่าจากทนายว่าควรจะทำแบบนี้เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน ก็ยังบอกกับผู้จัดการว่ามีล่ามไหม ก็คงจะไปแจ้งความ เพื่อต้องการจะมาขอวงจรปิดเพื่อเป็นหลักฐาน ตำรวจก็คงตามหาคู่กรณี พาสสปอร์ตอะไร นัมเบอร์อะไร  ซึ่งน้องคงไม่รู้

 

พอเกิดเหตุการณ์ขึ้น รู้เรื่องแล้ว ล้างแผลแล้ว หลังจากนั้นโทรหาเขาทันที เสียงติดแต่ไม่รับ ก็พิมพ์ไปว่าทำไมต้องทำขนาดนั้น ก็ไป เลยลบข้อความออกไป ก็คุยกับผู้จัดเขาตลอดเวลา ก็สงสัยก็คุยกับทางเมืองไทย เพราะมีข่าวว่าหนีออกจากโรงแรมแล้วเพราะกลัวดิฉันมาก ถ้านางฟาดมาฉันคงล้มไปแล้ว ก็ไปที่ฟร้อนท์ทันที ไปเคลียร์ข้างล่าง ก็เปิดมาไม่มีอะไร แขกยังอยู่มั้ย ก็บอกไม่มีอะไร เช็คเอ้าท์มั้ย ก็ไม่มีอะไร จนวันรุ่งขึ้นก็พยายามฟังเสียงว่ามีคนอยู่มั้ย เริ่มสงสัยไปเรื่อยๆก่อน ไม่ได้ก้าวก่าย พอได้ยินเสียงคิดว่ามีคนอยู่ กลายเป็นแม่บ้านมาทำความสะอาด ก็เลยเข้าใจว่าน้องไปแล้ว เลยคิดว่าน่าจะไปตั้งแต่วันที่ 29 หลังจากที่ล้างแผล ซึ่งก็ไม่สามารถติดต่อได้เลย ส่งข้อความไปบอกว่าอย่าลืมนัดหมอนะ อย่าลืมล้างแผลนะ ก็ไม่ตอบรับ ก็ส่งข้อมูลไปทางผู้จัดการ

 

เหตุผลจริงๆของเขาคืออะไรไม่รู้เลย เพราะไม่มีเหตุผลใดๆเลย พี่เองก็ไม่รู้ พี่ถึงได้ถอยห่าง พี่เป็นคนเดินทางกับคนแปลกหน้าตลอด คนอย่างพี่เป็นจิ้งจกเลยนะ เพราะต้องปรับตัว ต้องศึกษาและต้องปรับให้ได้ กับทางพ่อแม่น้องไม่ได้คุย ก็ได้คุยกันล่าสุดวันที่ 29 วันตัดไหม ผู้จัดการบอกก็ไม่ต้องไปเจอก็ได้ เราก็บอกว่าไมได้นะ พี่ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกลัว เพราะคนอย่างดิฉันเป็นผู้ใหญ่แล้ว แยกแยะได้ งานคืองาน เรื่องส่วนตัวคือเรื่องส่วนตัว ทางโรงพยาบาลก็รู้เรื่องว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร

 

พอไปเจอก็พูดคุยธรรมดา เขาก็พูดในห้องว่าพี่คงไม่เครียดหรอกเนาะ เพราะพี่ผ่าอะไรมาเยอะแล้ว แต่ผมเครียดมากเลย ในขณะที่ผู้จัดการก็บอกว่าน้องเขาเครียดมาก เพราะต้องการแค่สั่งสอนเท่านั้น ว่าไม่อยากให้ไปตบหน้าใคร ซึ่งดิฉันก็ได้รับหมดแล้วเรียบร้อย  ยังไม่ได้เจอคุณพ่อ คุณแม่น้อง ก็ถามไปยังผู้จัดการ พ่อแม่เขาก็เข้าใจ เดี๋ยวเจอกันในรายการเลยแล้วกัน จะได้ไปเคลียร์กัน

 

จะต้องกังวลเรื่องอะไร ไม่ทราบว่าจะดำเนินการที่เมืองไทยได้มั้ย ในส่วนที่พูดวันนี้ถ้าจะให้เล่าอีกครั้ง ก็เหมือนเดิม แต่คิดว่าดิฉันกับน้องน่าจะจบกันตั้งแต่ยืนคุยกันริมถนนที่เมียงดงแล้ว ที่ดิฉันยืนขอโทษเขาสุดฤทธิ์ จนกระทั่งเขาเดินมากอดและชวนไปกินปูกัน

 

เสียหายไหม ทุกคนบอกว่าเสียหายมากเลย แต่ถ้าไปเทียบกับตอนที่โดนไล่ออกจากงานใหญ่โตมากกว่า ก็จะอภัยให้ได้หมดทุกเรื่อง มันเป็นเรื่องของคนสองคน ที่มีวาทะกัน และไม่คิดว่าเขาจะเอาเรื่องทั้งหมดไปโมทนาขนาดนี้ จะฟ้องไหม ก็พูดไมได้ เพราะเป็นคนไม่รู้เรื่องกฏหมายสักเท่าไหร่

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

 

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube