ห่วงอยู่นานสำหรับค่าไฟฟ้า รอบเดือนมกราคม-เมษายน 2566 ที่จะมีการปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5.69 บาท/หน่วย แต่ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการ กกพ. ได้มีมติให้ปรับลดการจัดเก็บค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ หรือ ค่า ft รอบเดือนมกราคม-เมษายน อยู่ที่ 5.33 บาท/หน่วย
เพื่อช่วยเหลือด้านต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ และถึงแม้จะไม่มากเท่าที่เอกชนคาดหวัง เพราะการจัดเก็บที่ 5.33 บาท/หน่วยนั้น ก็ปรับขึ้นจากงวดล่าสุดซึ่งมีการจัดเก็บอยู่ที่ 4.72 บาท/หน่วย แต่ก็เชื่อว่า การปรับค่า ft เพิ่มขึ้นแบบไม่สุดชนเพดาน จะมีส่วนในการช่วยเพิ่มกำลังซื้อ กระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้มากขึ้น
โดยนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยกับสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น.ว่า ปัจจัยที่จะทำให้กำลังซื้อของประชาชนกลับมาหรือไม่และราคาสินค้าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากเพียงใดนั้น นอกจากจะขึ้นอยู่กับแนวโน้มราคาพลังงานและการขาดแคลนวัตถุดิบจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนแล้ว การปรับขึ้นค่า ft ในระดับปัจจุบันก็มีผลต่อผู้ประกอบการเพราะค่าไฟฟ้า เป็นต้นทุนการผลิตที่มีสัดส่วนสูง โดยภาคการผลิตมีสัดส่วนต่อต้นทุนร้อยละ 45 และภาคบริการร้อยละ 21.8 ซึ่งทั้งภาคการผลิตและภาคบริการถือเป็นกลุ่มที่ใช้ไฟฟ้ามากที่สุดของการใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศ ซึ่งผู้ประกอบการอาจต้องปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการเพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงบางส่วนแบบที่ไม่ให้กระทบต่อผู้บริโภคมากเกินไป
โดยหอการค้าไทย เสนอให้รัฐบาลมีมาตรการดูแลต้นทุนค่าไฟฟ้าอย่างจริงจัง ซึ่งภาคเอกชนทุกสาขาธุรกิจพร้อมร่วมกันหาแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนในการดูแลราคาพลังงานและราคาสินค้า รวมถึงค่าบริการ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อประคองกำลังซื้อภายในประเทศให้สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้
และหากรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ ที่เน้นการส่งเสริมการจ้างงาน และการเพิ่มกำลังซื้อทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศให้ปรับตัวสูงขึ้น เชื่อว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีของเศรษฐกิจไทยที่จะเติบโตสวนกระแสโลก ที่คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวอย่างแน่นอน
และยังเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้ ทั้งภาคการท่องเที่ยวและบริการที่กลับมาคึกคักมากขึ้น รวมถึงโอกาสด้านการลงทุนโดยตรงจากประเทศ ยุทธศาสตร์เป้าหมาย โดยเฉพาะหลังจากการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปคที่นานาชาติมีความเข้าใจและสนใจลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น ทั้งซาอุดิอาระเบีย จีน เวียดนาม อินเดีย และการรักษากลุ่มนักลงทุนเดิมที่สำคัญอย่างญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา
เห็นอย่างนี้แล้วบอกได้ว่าแม้ประเทศไทยยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยง แต่ประเทศไทยยังมีหวังฟื้นตัวได้ในปีนี้
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews