กลายเป็นดราม่าร้อนแรงแข่งอากาศหน้าร้อนเมืองไทยไปแล้วกับศึก 2 นักแฉระหว่าง ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ที่กล่าวหา เฮียชู ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ว่าเจ้าตัวทำเนียนแฉเรื่องฉาวของคนอื่น แต่อันที่จริงกลับ ‘แฉไป ไถมา’ แอบรับเงินจากธุรกิจสีเทากว่าหลักล้านบาทเพื่อให้จบเรื่อง
จนท้ายที่สุด นายชูวิทย์ ก็ต้องออกมาแก้ข่าว พร้อมจัดหนักจัดเต็มแฉอีกฝ่ายกลับว่าตัวเองก็ ‘แถลงไป ไถไป’ เหมือนกัน จนเรื่องทั้งหมดแทบจะบานปลายออกทะเลแล้ว
เรื่องราวจะเป็นมาอย่างไร วันนี้เรามาสรุปให้แล้ว
จุดเริ่มต้นประเด็น ‘ถุงเงิน 6 ล้าน’
- ในวันที่ 22 มีนาคม 2566 อยู่ๆเฟซบุ๊กของ ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ หรือทนายตั้ม ได้โพสต์ภาพถุงกระดาษ 2 ใบที่ภายในบรรจุเงินสดก้อนใหญ่อยู่ไว้อยู่ทั้งสองถุง พร้อมแคปชั่นว่า “แฉไป แถไป”
- พร้อมเขียนข้อความเพิ่มเติมในคอมเมนต์อธิบายต่อว่า “ไถสีเทามา 50 ล้าน บริจาคเอาหน้าที่ละ 3 ล้าน สร้างประเด็นตีข่าวแล้วไถ ใครยอมจ่ายก็ไม่พูดถึง เราจะยกย่องคนแบบนี้เป็นฮีโร่จริงหรือ”
- ซึ่งคำว่า ‘สีเทา’ ทำให้หลายคนส่วนใหญ่โยงไปถึง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตเจ้าพ่อวงการอ่างและอดีตนักการเมือง ที่ผันตัวมาแฉเบื้องหลังหลายคดี เช่น ปมทุจริตนักการเมือง เรื่องฉาววงการตำรวจ เว็บพนันออนไลน์ ไปจนถึง คดีธุรกิจทุนจีนสีเทา ที่เป็นประเด็นร้อน ประเด็นดังเมื่อปลายปีที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน
- โดยหลังจากนั้นไม่นาน นายชูวิทย์ ได้ออกมาแก้ข่าว ผ่านการโพสต์ภาพตัวเองถือป้ายบริจาคเงินจำนวน 6 ล้านบาทให้แก่ รพ.ธรรมศาสตร์ และ รพ.ศิริราช
- ก่อนจะเขียนแคปชั่นยอมรับว่า นายชูวิทย์ได้รับเงินจากนายตำรวจผู้ใหญ่นายนึงจริง และเป็นเงินของ “สารวัตรซัว” อดีตตำรวจที่ตนเคยแฉว่าเป็นเจ้าของเว็บพนันรายใหญ่ เพื่อแลกกับการให้หยุดกล่าวถึง
- โดย นายชูวิทย์ ชี้แจงผ่านโพสต์ดังกล่าวต่อว่า “แม้เขาเองจะปฏิเสธที่จะไม่รับแล้ว แต่ยังถูกยัดเยียด จึงตัดสินใจนำเงินไปบริจาคให้โรงพยาบาลตามรูป…จะเรียกผมว่าอะไรก็ได้ นักบุญ คนบาป โรบินฮู้ด นักแฉใจบุญ”
- นอกจากนี้ นายชูวิทย์ ตั้งคำถามกลับไปถึง ทนายตั้ม ถึงภาพถุงเงินที่ทนายตั้มออกมาแฉนั้น คนที่จะถ่ายได้ต้องเป็นเจ้าของเงิน แล้วทนายตั้มไปเอารูปมาได้อย่างไร?
- ส่งผลให้ชาวเน็ตในตอนแรก เริ่มเอนเอียงทันทีว่า ฝั่งทนายตั้มนั้น ถูกคู่อริของคุณชูวิทย์จ้างมาแฉหรือไม่? อย่างไร?
‘ทนายตั้ม’ สงสัย ‘ชูวิทย์’ ไถเงินธุรกิจสีเทา
- วันที่ 23 มีนาคม ทนายตั้ม ตั้งโต๊ะแถลงข่าวแก่สื่อมวลชน โดยระบุว่า ต้นเหตุเรื่องราวที่บานปลายทั้งหมด ตนได้รับข้อมูลมาจากคนใกล้ชิดของนายชูวิทย์
- ทนายตั้มยืนยันว่า นายชูวิทย์น่าจะได้รับเงินมากกว่าที่นำไปบริจาค หากอิงวิธีการทางคณิตศาสตร์ วัดความสูงและความกว้างของเงินเทียบกับขนาดของถุงกระดาษทั่วไป จำนวนเงินจริงๆอาจมีมูลค่าสูงกว่าหลัก 10 ล้านบาท
- ทนายตั้ม แถลงต่อถึงสิ่งที่นายชูวิทย์แฉนั้น เป็นการทำเพื่อตัวเองมากกว่าสังคม เพราะเมื่อนายชูวิทย์พูดถึงใคร คนๆนั้นก็จะเข้าหาเพื่อขอจบเรื่องทันที
- โดย นายชูวิทย์ มี กล่องดวงใจ (ตรงนี้ทนายตั้มเองก็ไม่บอกเหมือนกันว่าเป็นใคร) เป็นเหมือนคนกลางคอยติดต่อคนที่มีปัญหากับนายชูวิทย์ รวมไปถึง สารวัตรซัว เจ้าของถุงเงินต้นเรื่องก็ติดต่อผ่านกล่องดวงใจของนายชูวิทย์ด้วยเช่นกัน
- ส่วนสาเหตุที่ว่า ทำไมชูวิทย์ถึงแฉเรื่องของสารวัตรซัวนั้น ทนายตั้มได้ให้เหตุผลว่า นายชูวิทย์เคยขายตึกอาบอบนวดให้ เสี่ยกำพล ก่อนที่เสี่ยกำพลจะขายต่อให้ สารวัตรซัวอีกทอด
- สารวัตรซัว ที่เป็นเจ้าของธุรกิจอาบอบนวดคนใหม่ ทำการปรับปรุงอาคาร และเปลี่ยนชื่อกิจการใหม่เป็น “ลาลิซ่า” เพื่อเตรียมเปิดตัวอีกครั้ง
- ต่อมา นายชูวิทย์พยายามไถเงินจากสารวัตรซัว อย่างน้อย 2 ครั้ง ครั้งละ 10 ล้านบาท และพยายามไถอีกเรื่อยๆ จนสารวัตรซัวทนไม่ไหว ไม่ยอมให้เงิน ส่งผลให้ธุรกิจอาบอบนวดของสารวัตรซัวถูกตำรวจบุกตรวจค้นทันทีเมื่อเปิดกิจการวันแรกทันที
- ทั้งนี้ ก่อนจบการแถลงข่าว ทนายตั้ม ตั้งคำถามถึงนายชูวิทย์ เกี่ยวกับ นาย ‘แทนไท’ ผู้ต้องหาคดีเว็บพนันออนไลน์ ที่นายชูวิทย์เคยแฉ ว่าเหตุใดทำไมไม่แฉต่อ? หรือเป็นเพราะนายชูวิทย์ได้รับเงินสกุลดิจิทัล 50 ล้านเข้าบัญชีของกล่องดวงใจแล้ว?
‘ชูวิทย์’ ชี้แจงหลังถูกกล่าวหา
- หลังจากนั้น ในวันเดียวกัน นายชูวิทย์ ได้ติดต่อสื่อมวลชนด้วยเช่นกัน โดยชี้แจงข้อมูลออกเป็นทั้งหมด 3 ประเด็น ดังนี้
- ประเด็นแรก นายชูวิทย์ ทราบแล้วว่า ทนายษิทรา นำข้อมูลถุงเงินมาจาก ‘เปา’ ลูกน้องเก่าที่ตนเคยอุปการะไว้ และให้คอยเก็บค่าเช่าคอนโดขณะที่ตนเข้าคุกอยู่ 10 เดือน แต่กลับถูกฮุบเงินจนมีปากเสียงกัน ก่อนที่ เปา จะลาออกไปทำงานกับสารวัตรซัว
- ประเด็นที่สอง นายชูวิทย์ยืนยันว่าจำนวนเงินในถุงเงิน มีเงินแค่ 6 ล้านบาทเท่านั้น โดยคนที่นำเงินมาให้เป็นอดีตนายตำรวจ 2 คน ชื่อย่อ ป. กับ อ. โดยเดินเข้ามาเจรจาในโรงแรมของตนพร้อมบอกว่าสารวัตรซัวอยากเคลียร์ทุกอย่างให้จบ เนื่องจากต้องการเปิดอาบอบนวดต่อ ทั้งนี้ ในเหตุการณ์ นายชูวิทย์ได้ให้การปฏิเสธรับเงินจริงตามที่เป็นข่าว
- ประเด็นที่สาม เรื่องการแฉคดีแทนไท นายชูวิทย์ให้การยืนยันว่าไม่มีการรับเงิน 50 ล้านอย่างที่ทนายตั้มกล่าวหา แต่แทนไทเคยมาพบกับตนจริงเพื่อปรึกษาเรื่องคดีความที่มีปัญหากับนายสนธิ ลิ้มทองกุล
- ส่วนสาเหตุที่ นายชูวิทย์ไม่แฉคดีแทนไทต่อก็เพราะว่ามีข้อมูลเกี่ยวกับแทนไทไม่พอ ประกอบกับเจ้าตัวได้หันไปทำธุรกิจที่ถูกกฎหมายแล้ว
- นอกจากนี้ นายชูวิทย์ ฝากคำถามถึงทนายตั้มกลับว่า ทนายตั้มนั้นรับงานใครมาโจมตีหรือเปล่า? เพราะถ้าเกิดรู้เรื่องเงินใต้โต๊ะแบบนี้แล้ว ทำไมไม่แจ้งความ แต่กลับไปนั่งแถลงข่าวเหมือนคนหิวแสง
- นายชูวิทย์ ยังได้มอบหมายให้ ‘ทนายเปี๊ยก อนันตชัย’ ทำหน้าที่จัดการเรื่องกฎหมายระหว่างทนายตั้ม โดยหากทนายตั้มให้สัมภาษณ์หรือแถลงข่าวจนนายชูวิทย์ได้รับความเสียหายอีก จะทำการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายครั้งละ 100 ล้านบาท
- ขณะที่ โรงพยาบาลศิริราช และ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ได้ประกาศต่อสื่อมวลชนเช่นเดียวกันว่าจะคืนเงินบริจาคทั้งหมดให้แก่นายชูวิทย์ เนื่องจากเงินบริจาคดังกล่าวอาจเป็นเงินที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจที่ผิดกฎหมาย
ทนายตั้มกับประเด็นเก็บค่าแถลงข่าว 3 แสนบาท
- สามวันหลังจากที่ ทนายตั้ม และ นายชูวิทย์ ได้ให้การแก่สื่อมวลชน กระแสบนโลกออนไลน์ได้ถูกจุดขึ้นอีกครั้ง เมื่อ นายชูวิทย์ ได้ออกมาโพสต์ถึงทนายตั้มอีกครั้ง หลังถูกอีกฝ่ายโจมตีอย่างต่อเนื่อง
- โดย เฟซบุ๊กของนายชูวิทย์ มีการโพสต์รูปใบเสนอราคาของบริษัท ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม (สำนักงานกฎหมายของทนายตั้ม) ที่ออกมาเก็บค่าแถลงข่าวออกสื่อกับลูกความในราคากว่า 300,000 บาท
- พร้อมแคปชั่นพาดหัวใจความว่า “แถลงไป ไถไป มิน่า ถึงไม่ต้องไปว่าความ แถลงข่าวสัก 10 เรื่องก็ 3 ล้านแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่า เดี๋ยวนี้ทนายความคิดค่าแถลงข่าวได้ ก็ว่าทำไมแถลงบ่อยเหลือเกิน โถ ทนายประชาชน” ส่งผลให้ ทนายตั้ม ถูกเพ่งเล็งจากสื่อมวลชนอีกครั้งนึง
- วันที่ 27 มีนาคม ทนายตั้ม ได้ตั้งโต๊ะแถลงชี้แจงเกี่ยวกับเงินจำนวน 300,000 บาทที่ถูกนายชูวิทย์แฉ โดยให้การยอมรับว่า เป็นเรื่องจริง แต่ค่าดังกล่าว เป็นค่าใช้จ่ายที่ตนเรียกเก็บในคดีบางคดี ที่ตนอาจถูกผู้มีอิทธิพลฟ้องกลับเท่านั้น ซึ่งลูกความเองก็มีสิทธิเลือกได้ว่าจะจ่ายหรือไม่จ่าย
- ทนายตั้ม ให้การยืนยันเรื่องความสุจริตทางอาชีพว่า บริษัทรับว่าความมานาน 1 ปี ทำคดีมานับพันคดี เงินที่ได้มาอย่างสุจริต ภาษีก็จ่ายถูกต้อง ธุรกิจก็ถูกกฎหมาย โปร่งใสทุกอย่างแน่นอน
สำรวจความเห็นจากชาวเน็ต
- สำหรับประเด็นที่เกิดขึ้น โลกออนไลน์ได้ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยความคิดเห็นส่วนใหญ่มีน้ำหนักไปทางให้กำลังใจแก่นายชูวิทย์
- รวมทั้งตั้งคำถามถึง ทนายตั้ม เกี่ยวกับการแฉเรื่องถุงเงินครั้งนี้ว่ามีประโยชน์อย่างไร? ทำไมทนายตั้มต้องขัดขวางการทำงานของนายชูวิทย์?
- ขณะเดียวกันก็มีการตั้งคำถามถึงแรงจูงใจการแฉของทนายตั้มว่า เหตุใดทนายตั้มที่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของเงิน แต่ทำไมไม่แจ้งความ แต่กลับแฉชูวิทย์ เหมือนทนายตั้มกำลังหิวแสง หรือกำลังปกป้องคนชั่วอยู่กันแน่?
ร่วมติดตามดราม่าร้อนประเด็นดังต่อได้ที่ สำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews