Home
|
ข่าว

ธงนำข่าว | มายานิติ!!

Featured Image

          บรรยากาศทางการเมืองไทยภายหลังการเลือกตั้งห้วงเวลาครบขวบเดือนเยี่ยงนี้ ควรจะเป็นสีสันช่วงแห่งการเฉลิมฉลองความสำเสร็จของผู้คนส่วนใหญ่ที่ออกไปใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงเฟ้นหาผู้แทนเพื่อเข้าไปทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหารบ้านเมืองและเลือกตัวแทนเข้าไปเป็นปากเป็นเสียงในสภาผู้แทนราษฎร

          แสดงความชื่นชมสปิริตผู้นำคนเก่าแสดงความปิติต้อนรับกับผู้นำคนใหม่ เคารพตัวแทนจากคนเสียงส่วนใหญ่ให้เกียรติผู้แทนคนส่วนน้อย มากกว่าช็อตฟิวในกลิ่นความเจริญและเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในเกมอารมณ์เข่นฆ่าห้ำหั่นกันทางการเมือง เพราะหลังเกมจบทั้งขุนและเบี้ยถูกเก็บในกล่องเดียวกัน อำนาจเป็นเพียงมายานิติ..

          ท่าทีผู้มากด้วยอุมการณ์ในระบอบประชาธิปไตยที่ทุกพรรคต่างอ้างอิงความนิยมและยอมรับที่มาของผู้นำรัฐบาลจากความยินยอมของประชาชนผ่านการเลือกตั้งเข้าสู่อำนาจโดยสันติและเปลี่ยนผ่านผู้นำด้วยสันติ หากแต่อาการความเคลื่อนไหวของผู้นำในกลุ่มอำนาจอนุรักษ์ที่มาจากการเลือกตั้งต่อเนื่องผลพวงจากการยึดอำนาจทำรัฐประหาร เขียนกฎกติกาโดยตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญด้วยตนเอง ลงเล่นการเมืองเลือกตั้งเป็นคู่แข่งขันกับกลุ่มขัดแย้งเสียเองและเป็นแต่งตั้งกรรมการผู้ตัดสินเองชนิดเขียนโจทก์ให้ตรงกับคำตอบ ไม่นับรวมรากเหง้าที่ฝังลึกมาร่วมทศวรรตด้วยวาทกรรมผูกขาดความรักชาติ.. 

         สภาพการเมืองไร้ซึ่งสปิริตแพ้แล้วยังไม่ยอมออกจากสนามพยายามเล่นต่อไปทั้งๆที่มีเสียงโห่ไล่จากขอบเวที แทนที่จะให้ประชาชนเจ้าของอำนาจที่แท้จริงเป็นกรรมการผู้ตัดสินด้วยเสียงส่วนใหญ่อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมตามที่ลงคะแนนเสียงวันเลือกตั้ง กลับตั้งประเด็นหาเรื่องขี้แพ้ชวนตี ทำลายล้างระบอบการปกครองที่เลวน้อยสุด จนขาดความเชื่อมั่นไร้การยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นปัญหาต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาชาติในสังคมโลก.. 

          “นิติสงคราม”หรือ”สงครามทางกฎหมาย”จึงเกิดขึ้นเป็นวาทกรรมของนักการเมืองในห้วงที่ฝ่ายการเมืองกำลังใช้ต่อสู้กันเพื่อช่วงชิงอำนาจ โดยเฉพาะคดีถือหุ้นสื่อของ”พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่30 ของไทยที่กำลังฟอร์มทีมครม.จัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตย8พรรค ภายหลังการเลือกตั้งด้วยเสียงประชาชนเกินกึ่งหนึ่งเลือกให้ฝั่งประชาธิปไตยเข้ามาทำหน้าที่แทนทั้งในฐานะฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ..

          การใช้อำนาจรัฐทำ”นิติสงคราม”โดย”ตุลาการภิวัฒน์”กับฝ่ายตรงข้ามโดยการใช้ข้อกฎหมาย เปลี่ยนจากการใช้อาวุธมาใช้ศาลแทนเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ในที่นี้อาจหมายถึงการใช้กฎหมายเข้าจัดการกับ”พิธา”แคนดิเดตนายกฯแห่งค่ายก้าวไกลซึ่งเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล 

          ด้วยการร้องเรียนตามช่องทางตามกฎหมายซึ่งเป็นกับดักที่เครือข่ายคสช.จัดวางไว้ ตั้งประเด็นปั้นคดีจากบรรดานักร้องเรียนอาชีพ ตั้งแต่ปมคุณสมบัติผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทยราษฏร(ส.ส.) ผูกโยงต่อเนื่องมาถึงคุณสมบัติส.ส. แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและคุณสมบัตินายกฯที่กำลังจะเข้าสู่วาระโหวตรับรองจากทั้งสองสภาให้ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งหรือ 376 คนรวมเสียงสว.ลากตั้งจากฝ่ายอำนาจเก่า ภายหลังคณะกรรมการเลือกตั้ง(กกต.)ประกาศรับรองอย่างเป็นทางการแล้วไม่น้อยกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ภายใน 60 วัน..

          จากความมั่นใจของนักร้องเรียนกับช่องทางข้อกฎหมายที่นิติบริกรเคยชี้ช่อง เสมือน”พิธา”จะถึงฆาตทางการเมืองหรือถึงติดคุกทางคดีอาญา ซึ่งการตั้งประเด็นขึ้นมาเป็นคดีแม้การตัดสินชี้ขาดทางกฎหมาย”พิธา”จะแพ้หรือชนะจะเกิดขึ้นและผูกพันหลังวาระโหวตรับรองนายกฯตามไทม์ไลน์ หากแต่ปมครหากลับให้ถูกมองในความไม่สง่างามใช้เป็นข้ออ้างของส.ส.หรือสว.ในการโหวตหรือปิดสวิตช์เท่ากับไม่รับรอง ”พิธา” เป็นนายกฯจากฝ่ายตรงข้ามค่อนข้างแน่..

          เรื่องราวของ”นิติสงคราม”คดีความถือหุ้นสื่อดูเหมือน”พิธา”จะมั่นอกมั่นใจในข้อกฎหมายเฉกเช่นเดียวกันพร้อมจะชี้แจงแก้ต่างกับกกต. ศาลรัฐธรรมนูญและศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองได้และผ่านพ้นด้วยประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ระบุในมาตรา 1615 หรือไม่ ยังไม่มีการเปิดเผยให้ฝ่ายตรงข้ามรับรู้คำตอบ”การที่ทายาทสละมรดกนั้นมีผลย้อนหลังไปถึงเวลาที่เจ้ามรดกตาย” ซึ่งจากข้อกฏหมายดังกล่าวอาจหมายถึง การสละมรดกและโอ้นหุ้นให้ผู้สืบสันดานรายอื่นเท่ากับ”พิธา”ไม่ได้ถือ หุ้นitv มาตั้งแต่บิดาเสียชีวิต ซึ่งแปลว่า”พิธา”มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์เป็นผู้สมัครส.ส.และไม่ขาดคุณสมบัติผู้สมควรเป็นนายกฯ..

          จะอย่างไรก็ตามคดีการเมืองที่ได้ก่อให้เกิดขึ้นแล้วเป็นขบวนการมาตั้งแต่ร่างรัฐธรรมนูญหลังรัฐประหารของคณะคสช.นำโดย”ลุงตู่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาปัจจุบันยังรักษาการนายกฯที่มีความพยายามจะไปต่อ ยังไม่เคยประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ ยังมีความมุ่งมั่นจะยังอยู่ในตำแหน่งด้วยเหตุผลแห่งนิติสงครามที่บรรจงสร้างโดยซือแป๋”มีชัย ฤชุพันธุ์”และแต่งตั้งกรรมการขึ้นเป็นกระบวนการสรรหาในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญทั้งกกต.และศาลรัฐธรรมนูญซึ่งจะเป็นผู้ชี้ขาดคดีพิธาถือหุ้นสื่อและปิดปากด้วยข้อหาหมิ่นประมาทเพิ่มเติมเข้ามาในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน 

          สถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นจากเลือกตั้งไม่ได้มีท่าทีจะให้ความสำคัญต่อเจตนารมณ์ของประชาชนผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง หากแต่ผลแพ้ชนะตัดสินกันด้วยกลุ่มบุคคลและกับดักเทคนิคทางกฎหมายที่ได้จัดวางไว้จากผู้มีอำนาจ ผลงานจากอำนาจรัฐประหารเบ็ตเสร็จเด็ดขาด เข้ามาบริหารบ้านเมืองด้วยม.44 การเข้าดำรงตำแหน่งนายกฯแม้ไม่ได้มาจากเสียงเลือกตั้งสูงสุดแต่ใช้เครื่องมือสว.ลากตั้งโหวตรับรองให้เป็นนายกฯ แพ้การเลือกตั้งนั่งนายกรักษาการยังจะทำหน้าที่บริหารบ้านเมืองต่อไปได้หรือไม่ ผลงานเบื้องหลังหน้ากากคนดีผุดขึ้นดาดดื่น วงการส่วย โกงกินคอรัปชั่นเกิดขึ้นทุกวงการ ทุกสี เป็นปัญหาสังคมสร้างความหายนะต่อระบบเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและทำลายระบอบประชาธิปไตย การคอรัปชั่นที่เกิดขึ้นทั้งแบบทวนน้ำและตามน้ำหรือแบบตามไม่ทันกลโกงของพลพรรคหนักยิ่งกว่า..

พบกับคอลัมน์ธงนำข่าวโดย บก.พี่ลุง ได้ทุกวันพฤหัสบดี แล้วร่วมติดตามอนาคตประเทศไทยไปพร้อมกัน

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube