Home
|
คลิปข่าวทั่วไป

เงินดิจิทัล “เศรษฐา” หมุนศก.1ล้านล้าน

น่าติดตามเป็นอย่างยิ่งกับนโยบายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย หลังจาก “นายเศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30

 

 

นั่นเพราะเสียงร้องของประชาชนที่ทวงถาม เงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ว่าจะได้เมื่อไหร่ อย่างไร หรือแม้กระทั่งการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 600 บาท/วันจะเป็นจริงได้หรือไม่ และเศรษฐกิจไทยจะคึกคักเฟื่องฟูมากน้อยเพียงใด

 

เรื่องนี้ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.คุยกับ “รศ.ดร.นายธนวรรธน์ พลวิชัย” อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ โดย “รศ.ดร.ธนวรรธน์” กล่าวว่า นโยบายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย เชื่อมั่นว่าต้องทำแน่นอน เพราะเป็นนโยบายการเมืองที่หาเสียงไว้ และเป็นภาพลักษณ์ที่ดีของพรรค ว่าทำจริงอีกด้วย

 

“การให้นโยบายของเงินดิจิทัล หรือว่า ดิจิทัลวอลเล็ตให้คนละหมื่น ตั้งแต่อายุ 16 ปี ขึ้นไป ก็ประมาณ 5 แสนล้านบาทโดยประมาณ คือ 5 แสนล้านบาท จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้มีการขยายตัวมากกว่าเดิมถ้าไม่มีนโยบายประมาณ 3% เพราะฉะนั้นการขับเคลื่อนนโยบายของพรรคเพื่อไทยโดยดิจิทัลวอลเล็ต 5 แสนล้านบาท

 

ถ้าเรามองในแง่ของการจับจ่ายใช้สอย มันจะเป็นการให้คนทุกคน และจะเป็นการใช้เงินในพื้นที่ การหมุนของเงินมันจะสูง ดังนั้น 5 แสนล้านบาท ถ้าสมมุติหมุน 2 รอบเป็นอย่างน้อย มันก็จะมีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาที่กำหนด เช่นจะให้ใช้ภายใน 6 เดือน มันก็จะหมุนใน 6 เดือนเป็นล้านล้านบาท เพราะฉะนั้นตรงส่วนนี้จะกระตุก กระตุ้นเศรษฐกิจได้ ถ้าเราพูดง่ายๆ คือประมาณ 3% โดยประมาณ หรือถ้าเรามองประเมินต่ำๆ ก็คืออย่างน้อย ก็ควรจะ 2-3%”

 

และเมื่อถามว่า ในปีหน้า 2567 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เท่าไร ภายใต้นโยบายเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทของพรรคเพื่อไทย ซึ่ง “นายธนวรรธน์” กล่าวว่า จะผลักดันให้จีดีพีโตมากถึง 5-7%

 

“เศรษฐกิจไทยในปีหน้า ซึ่งคาดว่านโยบายเงินดิจิทัล ควรจะเริ่มใช้อย่างน้อย อย่างเร็วสุด ก็คือ 1 มกราคมปี 67 มันก็จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยในปีหน้ามีการขยายตัวบวกขึ้นกว่าเดิมอย่างน้อย 2-3% แน่นอน ซึ่งพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยปีหน้า ที่จะโต จะโตโดยประมาณ 3-4%

 

ดังนั้นถ้าถามว่าปีหน้า เศรษฐกิจไทยจะโตประมาณเท่าไร 3-4% บวกด้วย 2-3% ที่จะขับเคลื่อนและกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากการขยายตัวเดิม จากนโยบายเงินดิจิทัล 5 แสนล้านบาท ที่ใส่ไปในระบบเศรษฐกิจตั้งแต่ต้นปี เศรษฐกิจไทยน่าจะโตได้ 5-7% ซึ่งประโยชน์ที่เราจะได้ ก็คือ 1. เป็นนโยบายในการที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจทันทีทั่วประเทศ

 

2.เราจะมีการสร้างองค์ความรู้ให้กับภาคประชาชนเกี่ยวกับเงินดิจิทัล คนจะรู้จักและรู้จักวิธีใช้ทั่วประเทศ และก็ร้านค้าก็จะเข้าสู่ระบบของดิจิทัลทั่วประเทศด้วยเหมือนกัน เพราะว่าถ้าใครไม่เข้าสู่กระบวนการของเงินดิจิทัลก็จะต้องเสียประโยชน์ในการที่ไม่ได้รายได้จากนโยบาย ดังนั้นเมื่อทุกอย่างเข้าไปในระบบของเงินดิจิทัล ข้อมูลข่าวสารในการซื้อ ในการจ่ายแต่ละพื้นที่

 

ว่าจ่ายเป็นวงเงินครั้งละเท่าไร จะเป็นข้อมูลดิจิทัลซึ่งเข้าอยู่ในระบบฐานข้อมูลทันที ก็ทำให้เราสามารถเก็บข้อมูล แล้วก็รับรู้ข้อมูลพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนได้ ซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่ดี ซึ่งแน่นอนว่าถ้าไม่มีข้อจำกัดทางงบประมาณ และรัฐบาลเห็นว่า คุ้มค่า มันก็จะกระตุก กระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจไทยปีหน้า มีโอกาสโตได้ 5-7% จากนโยบายนี้”

 

ขณะที่นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบีเคย์เฮียน ระบุในบทวิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจถึงการผลักดันนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทยผ่านการต่อรองในตำแหน่งรัฐมนตรี โดยระบุว่า นายเศรษฐา ได้รับการรับรองและโปรดเกล้าให้เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้อำนาจต่อรองกลับมาอยู่ในมือของพรรคเพื่อไทยมากขึ้น

 

แม้จะต้องเผชิญการต่อรองตำแหน่งของพรรคร่วมรัฐบาล แต่ภาพใหญ่จะไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก และเพื่อไทยคงพยายามรักษาตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการที่สำคัญในการผลักดันนโยบาย ซึ่งหากผลการจัดครม.ออกมาโดยพรรคเพื่อไทยมีเอกภาพในการบริหารกระทรวงเศรษฐกิจที่สำคัญไว้ได้ จะเป็นปัจจัยบวกกับบรรยากาศลงทุน

 

ส่วนความคืบหน้าของงบประมาณปี 2567 ล่าสุด นายเฉลิมพล เพ็ญสูตร ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เปิดเผยว่า ในช่วงที่งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ยังไม่สามารถมีผลบังคับใช้ได้ สำนักงบประมาณ ประเมินว่า อย่างน้อยในช่วง 2 ไตรมาสของปีงบประมาณ 2567 คือตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 – 31 มีนาคม 2567 น่าจะมีเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ เม็ดเงินดังกล่าวคิดเป็น 47.8% ของงบประมาณที่กำหนดปี 2567 ที่ 3.35 ล้านล้านบาท

 

จากนี้ต่อไปจะต้องจับตาโฉมหน้าคณะรัฐมนตรี รวมถึงการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจให้ออกมาเป็นรูปธรรมอย่างใกล้ชิด เพราะทุกความเคลื่อนไหว และความคืบหน้าที่เกิดขึ้น ย่อมส่งผลต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่มีตัวเลขจีดีพีเป็นเดิมพันนั่นเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube