เป็นที่รับรู้กันทั่วโลก “โมเดลธุรกิจสีเทา” อาจถูกมองเป็นหนึ่งใน “ซอฟต์พาวเวอร์”ของไทย เชิญชวนให้ “นักลงทุนต่างด้าว”เข้ามาประกอบ “ธุรกิจนอกกฎหมาย”และขยายอาณาจักรความมั่งคั่งและเบ่งบานจนกลายเป็น “องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ”
ธุรกิจศูนย์เหรียญ เปิดผับเสพยาค้ากาม นักการเมืองทรงเอ นักธุรกิจทรงซ้อ บ่อนการพนันหรู ขบวนการค้าของเถื่อน เหล้าเถื่อน รถเถื่อน หมูเถื่อน กระทั่งสินค้าเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้าน สินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจผิดกฎหมายประเทศอื่นทำไม่ได้ หากแต่ “มีเงิน”ทุกอย่างทำได้ในประเทศไทยบริการแบบ”เซอร์วิสมายด์”ทั้งผ่าน นักการเมือง ผ่านเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง มีหัวใจบริการได้ทุกสีทุกระดับประทับใจ แบบที่นักท่องเที่ยวจีนแต่งเครื่องแบบข้าราชการตำรวจเซลฟี่คุยโม้โชว์พาว กระทำย่ำยีกระบวนการ
ยุติธรรมไทยสามารถเป่าคดีมีความผิดให้เป็นถูก ผิดหนักให้เป็นผิดเบาได้ ยิ่งจ่ายไม่อั้นยินดีถวายหัวรับใช้..ผู้ต้องหาชาวเยอรมันซื้อบริการเด็กยัดเงินแค่ 1 ล้านบาทประกันตัวฉลุยได้หนีกลับประเทศ..
“ธุรกิจเถื่อน”บางเครือข่ายเชื่อมโยงกับนักการเมือง ระดับรัฐมนตรี ผู้แทนราษฏร สามารถคุยกันถึงขั้นเป็นนโยบายหรือเป็นมาตรการขึ้นมาตอบสนองอาจออกมาในลักษณะส่วยหรือเงินทุนสนับสนุน จัดการเข้าสู่ “ขบวนการฟอกเงิน”หรือ จ่ายเงินสด คิดเป็น “กิโลกรัม”เพื่อความสะดวกต่อการจัดการซื้อสิทธิ์ขายเสียงช่วงฤดูการเลือกตั้ง ส่วนใหญ่เป็นนักการเมืองประเภทใจถึงพึ่งได้ เงินหาง่ายผ่านการตรวจสอบโดยใช้อำนาจรัฐ มีสส.ในสังกัดเพื่อสนับสนุนโควต้ารัฐมนตรี ช่วงการจัดตั้งรัฐบาลตามอัตราส่วนเชิงคณิตศาสตร์การเมือง เข้าวงจรอุบาทว์เป็น”ธนกิจการเมือง”
การบริหารจัดการ “ธุรกิจสีเทา”ต่างจาก “ทุนการเมือง” โดยเฉพาะ “กลุ่มบริษัทยักษ์”ซึ่งบางรายจ่ายทุกพรรคทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน บางรายจ่ายเฉพาะบางพรรค บางเจ้าจ่ายเฉพาะกลุ่มที่มีตัวแทนหรือบุคคลที่พอจะมีโอกาสเข้าไปเป็นรัฐมนตรีหรือสส.ที่สามารถเสนอนโยบายหรือมาตรการตอบสนองผลประโยชน์ได้หรืออย่างน้อยเป็นการปกป้อง อย่างบริษัทยักษ์ใหญ่ทำธุรกิจครบวงจร ทั้งภาคการผลิต ค้าส่ง ค้าปลีก กระทั่งร้านสะดวกซื้อ บริษัทด้านพลังงานผูกขาด บริษัทไฟฟ้าขายตรงรัฐ บริษัทค้าน้ำมัน บริษัทธุรกิจแอลกอฮอล์ เหล้า เบียร์ ที่พยายามใช้ “ทุนผ่านการเมือง”เลี่ยงภาษีเอาเปรียบหรือขจัดคู่แข่งรายใหม่หรือรายย่อยได้อย่างเบ็ดเสร็จ..
น้ำไม่ลดตอก็ผุดขึ้นในทุกวงการ ทุกกระบวนการ ข้อต่อกระบวนการ เฉพาะอย่างยิ่งการต่อรองผลประโยชน์กับรัฐบาลซึ่งยังตกอยู่ในสภาพ “ตัวประกัน” อำนาจวงการมีสี ยังผูกโยงอยู่กับบารมีและอำนาจนอกระบบ ต่างพก “ตั๋วผ่าน” การเข้าไปกำกับดูแลใน วงการข้าราชการ ในฐานะนายกฯหรือรัฐมนตรีทำได้แค่เป็น “ลูกไล่”มากกว่า “ผู้บังคับบัญชา” ทั้ง องค์กรตำรวจ ทหาร ปฏิบัติการในแต่ละมาตรการหรือนโยบายของรัฐบาลจึงดำเนินการได้ “ไม่ตรงปก” ไม่ว่า มาตรการลดค่าครองชีพ ลดราคาสินค้า ลดค่าไฟ แก้หนี้นอกระบบ ปราบผู้มีอิทธิพลอาจเป็นบุคคลในองค์กรนอกกฎหมายที่ขึ้นตรงต่อนักการเมือง
ทั้งหมดทั้งมวลย่อมเกิดจาก “ผู้บริหารประเทศ”หากยังทำหน้าที่ “ตัวแทนนายทุน”มากกว่าเป็น “ตัวแทนของปวงชนชาวไทย” ยังเห็นแก่ “พวกพ้อง”เห็นแก่ผลประโยชน์เห็นแก่เงินเป็นใหญ่ ทุกกระบวนการต้องมีเส้นมีสาย ต้องมี “ตั๋วผ่าน” ไม่สนใจ “ส่วนรวม”ไม่เห็นแก่สาธารณะคุณภาพความเป็นอยู่ของผู้คนและประเทศชาติมีแต่จะย่ำแย่ลง คุณภาพการเรียนการศึกษาซึ่งเป็นหัวใจหลักของการพัฒนากลับตกต่ำลงในทุกด้าน ข้าวของไทยที่เคยเป็นหนึ่งในโลกกลับต้องพ่ายแพ้คุณภาพย่อยยับ สรรพสิ่งเหล่านี้มีความหวังจะกลับมามีการพัฒนาที่ดีขึ้นความเจริญรุ่งเรืองขยับขึ้นกลับมาเทียบทันกับประเทศเพื่อนบ้านเขาหรือไม่ ขึ้นอยู่กับองคพายพผู้นำประเทศ “เศรษฐา ทวีสิน”จะต้องบริหารจัดการงานเพื่อประเทศชาติและส่วนรวมโดยแท้จริง รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงจะต้องมีความรู้ความสามารถและเหมาะสมมากกว่านี้ หรือไม่ หรือรอจังหวะการเข้ามานายกฯตัวจริง ”อุ๊งอิ๊ง”แพทองธาร ชินวัตร..!?
พบกับคอลัมน์ธงนำข่าวโดย บก.พี่ลุง ได้ทุกวันพฤหัสบดี แล้วร่วมติดตามอนาคตประเทศไทยไปพร้อมกัน
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews