“ณัฐชา” ก้าวไกล กระทู้ถามพักโทษ “ทักษิณ” เข้าเกณฑ์ตามกฎหมายอย่างไร ชี้พักรักษตัวในโรงพยาบาลนอกเรือนจำ ไม่ใช่การคุมขังนอกเรือนจำ ขณะ “ทวี” ตอบเป็นไปตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์
นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กรุงเทพฯ พรรคก้าวไกล ตั้งกระทู้ถามพันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ถึงการพักโทษนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลตำรวจตั้งแต่วันแรกที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และได้รับการพักโทษในวันที่ 181 ซึ่งระหว่างนั้น ก็ได้รับการพักรักษตัวในโรงพยาบาลนอกเรือนจำ แต่ไม่ใช่การคุมขังนอกเรือนจำ จึงสอบถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมว่า นายทักษิณ เข้าเกณฑ์ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 3 ฉบับ ทั้งพระราชบัญญัติราชทัณฑ์, กฎกระทรวง และประกาศราชทัณฑ์อย่างไรจึงผ่านการพิจารณาพักโทษ
โดยพันตำรวจเอกทวี ย้ำว่า การพักโทษ เป็นไปตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ มาตรา 52 ที่นักโทษเด็ดขาด แสดงให้เห็นถึงความประพฤติดี มีความอุตสาหะ และมีความชอบแก่ราชการเป็นการพิเศษ อาจได้รับการพักโทษ ที่ได้รับโทษไม่น้อยว่า 6 เดือน หรือ 1 ใน 3 และยังมีกฎกระทรวงเรื่องการพักโทษ หากเข้านิยามการพักโทษทั่วไป ก็จะมีอนุกรรมการฯ จำนวน 19 คนพิจารณาอีกครั้ง รวมถึงยังมีการพักโทษเหตุพิเศษ
โดยความเห็นของอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ตามเกณฑ์กฎกระทรวง และตามที่ผู้บัญชาการเรือนจำเสนอ เสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนส่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมพิจารณา และในกรณีการพักโทษที่เข้าเหตุเจ็บป่วยร้ายแรง พิการ หรืออายุ 70 ปีขึ้นไป ผู้บัญชาการเรือนจำ ก็สามารเสนอให้พิจารณาได้ พร้อมย้ำว่า การพิจารณาพักโทษครั้งนี้ มีผู้เข้ากณฑ์ 945 คน และยืนยันว่า การพิจารณาของกรรมการฯ ไม่ใช่ตรายาง และจะมีอำนาจวินิจฉัย จนมีผู้ตกเกณฑ์ 15 คน
ซึ่งในกรณีของนายทักษิณนั้น ผู้แทนกระทรวงสาธารณะสุข ได้พิจารณาหลักฐานทางการแพทย์แล้ว เห็นว่า เข้าเหตุพักโทษ และอัยการสูงสุด ก็ได้สอบถามถึงการพักรักษาตัวในโรงพยาบาล จะเข้าเกณฑ์การรับโทษแล้วหรือไม่ ซึ่งตามระเบียบนั้น ให้คำนิยามเรือนจำว่า หมายถึงที่คุมขัง และกฎกระทรวงให้ถือว่า การพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลถือเป็นที่ควบคุม จึงยืนยันว่า เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายราชทัณฑ์ และกฎกระทรวง รวมถึงขั้นตอนกระบวนการต่าง ๆ
นายณัฐชา ยังสอบถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซ้ำว่า การได้รับโทษของนายทักษิณนั้น เข้าเกณฑ์ใดในพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ ระหว่างถูกคุมขัง มีความประพฤติดี, มีความอุตสาหะ, ก้าวหน้าในการศึกษา และทำการงานเกิดผลดี และใช้วิธีใดตามกฎกระทรวง ที่อธิบดีไปคัดสรรนักโทษจาก 200,000 กว่ารายจนเหลือผู้เข้าเกณฑ์พิเศษเหลือ 8 คน รวมถึงการเปิดเผยรายชื่ออนุกรรมการฯ 19 คน รวมถึงตามประกาศราชทัณฑ์ นายทักษิณ เข้าเงื่อนไขอาการป่วยใดใน 7 โรค ที่มีอันตรายร้ายแรงถึงที่สุดหากอยู่ในเรือนจำต่อ หรือการเป็นผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป และไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
ขณะเดียวกัน พันตำรวจเอกทวี ชี้แจงอีกว่า เหตุพักโทษในกรณีเจ็บป่วยร้ายแรงนั้น ตามกฎหมายระบุว่า จะต้องเป็นกรณีเจ็บป่วยร้ายแรง หรือ พิการ หรืออายุ 70 ปีขึ้นไป ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ซึ่งผู้ที่อายุ 70 ปีขึ้นไปนั้น อาจไม่แข็งแรง ซึ่งก็จะมีมาตรการประเมินของแพทย์ และพยาบาลอย่างน้อย 2 คน และในกรณีดังกล่าว อยู่ต่ำกว่าเกณฑ์ ซึ่งการเปิดเผยข้อมูลสุขภาพของบุคคลเป็นความลับส่วนบุคคล ไม่สามารถนำมาเปิดเผยให้บุคคลผู้นั้นเสียหายได้ เว้นแต่จะเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของบุคคลนั้น และกฎหมายบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ ตามพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พร้อมยืนยันว่า การวินิจฉัยอาการ มีแพทย์จากกระทรวงสาธารณะสุขมาวินิจฉัย จึงย้ำว่า กรณีดังกล่าว เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ทางการแพทย์ มีความชอบธรรมด้วยเหตุผล และคุณธรรม
นายณัฐชา ยังได้ถามรัฐมนตรีว่า แพทย์ และพยาบาล 2 คน ที่รับรองการประเมินอาการนายทักษิณนั้นเป็นใค เพราะถือเป็นหมอเทวดา ที่เซ็นรับรองนายทักษิณ อาการหนักก่อน 180 วัน แต่เมื่อครบ 180 วันแล้ว อาการหายทันที และสามารถกลับบ้านได้
โดยพันตำรวจเอกทวี ปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายชื่อ เนื่องจากมีใบไม่ยินยอมของผู้ตรวจให้เปิดเผยอาการ จึงไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ยืนยันว่า แพทย์ที่ตรวจเป็นแพทย์ที่เป็นกลาง และมีการปฏิบัติครบถ้วน ตามแบบประเมินการช่วยเหลือตัวเองได้น้อย ซึ่งจะมีคะแนนเต็ม 20 คะแนน หากสูงกว่า 11 คะแนนจะไม่อยู่ในเกณฑ์ แต่นายทักษิณ คะแนนต่ำกว่า 11 คะแนนเล็กน้อย จึงเป็นไปตามกฎหมาย และระเบียบ
ทั้งนี้ ระหว่างการตั้งกระทู้ถามเรื่องนายทักษิณ ของนายณัฐชานั้น มี สส.พรรคเพื่อไทย คอยประท้วงการตั้งกระทู้ถาม อาทิ นายไชยวัฒนา ติณรัตน์ สส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ที่เห็นว่า นายณัฐชา ตั้งกระถามที่เป็นเรื่องส่วนตัวของบุคคลภายนอก พร้อมกล่าวหา สส.พรรคก้าวไกล ที่มักมีการใช้ภาพบุคคลภายนอก มาเผยแพร่ประกอบการหารือในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งขัดต่อข้อบังคับการประชุม ทำให้นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ทำหน้าที่ประธานการประชุม ต้องวินิจฉัย โดยได้ชี้แจงถึงข้อบังคับการประชุมที่นายไชยวัฒนา ประท้วงนั้น มีข้อยกเว้นว่า เป็นเรื่องส่วนตัวของบุคคลใด เว้นแต่เกี่ยวกับการงานในหน้าที่ราชการ
ดังนั้น นายณัฐชา จึงสามารถสอบถามการปฏิบัติหน้าที่ของส่วนงานราชการได้ รวมถึงนางสาวศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่เห็นว่า กระทู้ถามของนายณัฐชา เป็นการออกความเห็น และซ้ำกับกระทู้ถามที่เคยมีผู้ที่ถามไปแล้ว จึงเป็นกระทู้ถามที่เวียนวน เพื่อชี้นำให้เกิดความเข้าใจผิด และเสียหายต่อบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในสภา แต่นายปดิพัทธ์ วินิจฉัยยืนยันว่า นายณัฐชา สามารตั้งกระทู้ถามได้ เพราะเป็นการถามมาตรฐานการใช้กฎหมาย ก่อนที่นางสาวศรีญาดา ประท้วงอีกครั้ง
เพราะเห็นว่า การถามกระทู้ของนายณัฐชา เป็นการออกความเห็นด้านกฎหมาย และใช้วาทกรรมบิดเบือนให้เกิดความเข้าใจผิด จนทำให้นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ลุกขึ้นประท้วงนางสาวศรีญาดา ให้รับฟังคำวินิจฉัยของประธานการประชุม เพราะถือเป็นที่เด็ดขาด และหากยังประท้วงวนเวียนว้ำซาก ก็ขอให้ประธาน เชิญนางสาวศรีญาดา ออกจากห้องประชุม ซึ่งนายปดิพัทธ์ ได้วินิจฉัยให้นายณัฐชา ได้ตั้งกระทู้ถามต่อ
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews