พปชร.เสวนา จับเข่าคุยชี้ช่องรับมือสินค้าจีนทะลักฯ “ไผ่”อ้างชาวบ้านบ่นสินค้าจีน เข้ามาแข่งขัน ราคาถูกกว่าสินค้าไทย จี้รัฐเข้มงวดในการนำเข้าสินค้าจากจีน
พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้จัดกิจกรรมเวทีเสวนาวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ ในหัวข้อ “จับเข่าคุยชี้ช่องรับมือสินค้าจีนทะลัก…เสริมสร้างความได้เปรียบสินค้าไทย” โดยมี นายไผ่ ลิกค์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) กำแพงเพชร เขต 1 นายกานต์ กิติอำพล อดีตผู้สมัคร สส. กทม. เขต 5 และนายรุ่งโรจน์ อาชาเทวัญ รองประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย และประธานคณะกรรมการส่งเสริมการค้าการลงทุนในประเทศและชายแดน ดำเนินรายการโดย ดร.ชาญกฤช เดชวิทักษ์ กรรมการยุทธศาสตร์พรรค พปชร. อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง ณ ห้องประชุมใหญ่ พรรค พปชร.
โดยเวทีเสวนาได้ร่วมกันหาแนวทาง และข้อเสนอแนะในการรับมือ และควบคุมสินค้าจีนทีเข้ามาตีตลาดในไทยเป็นจำนวนมาก ทั้งในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ที่มีความหลากหลายและราคาถูก ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม(SMEs) ที่นับเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของไทย เนื่องจำนวน SMEs ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก พปชร. ได้เล็งเห็นถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในวงกว้าง รุกลามต่อระบบเศรษฐกิจไทย จึงจัดเวทีเสวนาเพื่อระดมความคิดเห็นนำไปสู่การวางยุทธศาสตร์ และแนวทางการขับเคลื่อนเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยต่อภาครัฐต่อไป
ในขณะที่ นายไผ่ ลิกค์ กรรมการบริหารพรรคพปชร. และ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) กำแพงเพชร เขต 1 กล่าวว่า ในฐานะเป็นสส. และมีการลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชน พ่อค้าในต่างจังหวัดมาอย่างต่อเนื่อง พบว่าได้รับข้อร้องเรียนจากพ่อค้า แม่ค้า และ SMEs ถึงผลกระทบจากสินค้าจีนเข้ามาแข่งขัน ทำตลาดไทยมากขึ้น ในหลากหลายประเภทสินค้า ที่สำคัญมีราคาถูกกว่าสินค้าไทย เนื่องจากมีต้นทุนที่ต่ำ ในกลุ่มสินค้าอุปโภค บริโภค อาทิ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ของเล่น อิเล็กทรอนิกส์ (โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ) กลุ่มสินค้าเกษตร อาทิ ข้าว ผลไม้ ยางพารา เป็นต้น ซึ่งสินค้าบางประเภทของจีนพบว่า ไม่มีคุณภาพและไม่ได้มาตรฐาน จึงนับเป็นความเสี่ยงของผู้บริโภคในการใช้สินค้าที่จะไม่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน
“สินค้าจีนที่เข้ามาแข่งขัน ทำตลาดในไทย มีราคาถูกกว่าสินค้าไทย เนื่องจากมีต้นทุนที่ต่ำ นี่คือสาเหตุที่ต้องพูดกันตรง ๆ ว่า ทำไมต้นทุนการผลิตถึงสู้กับจีนไม่ได้ รวมถึงเราต้องเข้มงวดในการนำเข้าสินค้าจากจีนมากขึ้น ที่จะช่วยดูแลผู้ประกอบการไทยในการสกัดสินค้าไร้คุณภาพมาแข่งขัน หากยังให้มีการนำเข้าต่อเนื่อง จะส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยถึงขั้นล้มละลายได้ เกิดปัญหาการว่างงาน ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ทั้งการเสียดุลการค้า เผชิญกับภาวะเงินทุนไหลออก การเติบโตเศรษฐกิจล่าช้า รายได้คนไทยลดลง ที่สำคัญสินค้าไทยอาจถูกลอกเลียนแบบ เกิดการละเมิดลิขสิทธิ์มากขึ้น”นายไผ่ ลิกค์ กล่าว
ด้านนายรุ่งโรจน์ อาชาเทวัญ รองประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย และประธานคณะกรรมการส่งเสริมการค้าการลงทุนในประเทศและชายแดน กล่าวว่า จากการเก็บตัวเลขของสมาพันธ์ ฯ พบว่าในปี 2566 ที่ผ่านมา ไทยนำเข้าสินค้าจากจีนมีมูลค่า 2.3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% โดยสินค้าจีนครองส่วนแบ่งการตลาดในประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าสูงถึง 60% ที่สำคัญมีราคาถูกกว่าสินค้าไทยถึง 20% โดยเฉพาะการซื้อผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ ซึ่งคนไทยกว่า 70% มีประสบการณ์ใช้สินค้าจากจีน ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยสัดส่วนถึง 30% ต้องปรับตัว โดยการลดราคาขายสินค้าเพื่อแข่งขันกับจีน
ขณะที่ปี 2567 การนำเข้าสินค้าจากจีน คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะราคาสินค้าถูก และยังมีความเชื่อว่าสินค้าจากจีน มีคุณภาพใกล้เคียงกับสินค้าไทย แม้จะไม่มีมาตรฐานรับรองก็ตาม แต่ด้วยกลไกการตลาดปัจจุบัน มีช่องทางการจัดจำหน่ายหลายรูปแบบมากขึ้น ทั้งผ่านร้านค้าทั่วไป ในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด ตลาดออนไลน์แพลตฟอร์ม อีคอมเมิรช์ เป็นต้น ซึ่งยากต่อการควบคุม เพราะผู้ผลิตจีน เห็นช่องทางกระแสความนิยมของผู้บริโภคไทย รวมทั้งพ่อค้าคนไทยเอง มีการนำสินค้าจีนมารีวิวในเชิงบวก ทำให้สินค้าจีนเกิดความแพร่หลาย จึงมีการผลิตสินค้า และนำสินค้าใหม่เข้าสู่ท้องตลาดไทยอีกเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย ควรยกระดับคุณภาพสินค้า ให้สามารถลดต้นทุนการผลิตได้ต่ำลง ผ่านการสนับสนุนพัฒนาธุรกิจ SMEs ไม่ว่าจะเป็น การลดดอกเบี้ย สร้างแรงจูงใจทางภาษี สนับสนุนการลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ รวมถึงการพัฒนาด้านทักษะแรงงานฝีมือให้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ สนับสนุนให้เกิดผู้ประกอบอาชีพอิสระ มีการนำเทคโนโลยีในการเข้ามาพัฒนาสินค้าและบริการ วางระบบโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เพิ่มช่องทางและโอกาสทางการค้า รวมถึงการรณรงค์และสนับสนุนการใช้สินค้าไทย กำหนดมาตรฐานนำเข้าสินค้า เพื่อควบคุมปริมาณสินค้าจีนบางประเภท โดยเก็บภาษีนำเข้า เพิ่มในบางประเภท เพื่อให้สินค้าไทยมีโอกาสแข่งขันในตลาดโลกได้เพิ่มขึ้น
นายชาญกฤช กล่าวสรุปในการสัมมนาว่าจะนำข้อเสนอที่เกิดขึ้นจากเวทีสัมมนา ซึ่งพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะนำไปสู่กลไกการแก้ไขปัญหาเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยและป้องกันสินค้าจากจีน โดยเฉพาะประเด็นข้อกฎหมายให้มีความทันสมัย ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ทั้งกฎหมายดูแลการทุ่มตลาด ทั้งมาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty: CVD) มาตรการปกป้องทางการค้า (Safeguards) และมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping) ผ่านกลไกกระทรวงพาณิชย์และรัฐสภาต่อไป
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews