นายกฯ เปิดใจ “ปานปรีย์”ลาออก ส่งไลน์กลุ่มขอโทษ หาคนแทนแล้วตั้งแต่เมื่อคืน อุบชื่อแต่เป็นนักการทูต-คนเบื้องหลังเพื่อไทย มั่นใจปรับ ครม.ไม่ผิดฝาผิดตัว มองไม่จำเป็นควบรองนายกฯทุกกระทรวง “ชลน่าน” ถูกปรับออกทั้งที่สู้เพื่อพรรค รอพูดคุยมอบตำแหน่งปลอบใจ
ทันทีที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เดินทางถึงทำเนียยบรัฐบาลในเวลา 08.09 น. ก็ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวถึงประเด็นการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลังนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยื่นลาอออก
โดยนายกรัฐมนตรียิ้ม พร้อมกล่าวว่า สวัสดีตอนเช้าครับ สำหรับเรื่องโผครม. ก็อย่างที่บอกว่าถ้าทราบท่านจะรู้เองเพราะเป็นเรื่องของขั้นตอน บางครั้งก็ไม่เหมาะสมที่ผมจะพูดก่อนที่จะมีการโปรดเกล้าฯลงมา ส่วนเรื่องของนายปานปรีย์ ก็ต้องเคารพในการตัดสินใจของท่านส่วนตัวก็รู้จักกันท่านมาหลาย 10 ปี ลูกก็เป็นเพื่อนกัน และส่วนตัวก็รักชอบกันดี
ส่วนหนังสือลาออกส่งไปถึงมือสื่อมวลชนก่อนที่จะถึงมือนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ตามที่ได้ยินก็เป็นแบบนั้นแหละครับ ส่วนจะแสดงถึงความไม่พอใจหรือไม่ ถือว่าพูดในองค์รวมมากกว่า ในการปรับเปลี่ยนหน้าที่หรือคณะรัฐมนตรีต่างๆ ก็คงมีคนพอใจไม่พอใจสมหวังไม่สมหวัง แต่อยากให้โฟกัสสิ่งที่เรามีความสัมพันธ์ด้วยดีกันมา 7 เดือนดีกว่า ในเรื่องที่ท่านทำมาแล้วเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ ตนเชื่อว่ารัฐมนตรีคนใหม่ที่จะเข้ามาทำหน้าที่แทนก็จะมาสานต่อในเรื่องดีเหล่านี้
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวต่อด้วยว่า หลังนายปานปรีย์ลาออก ได้ส่งแมสเสจไปหาท่านในกลุ่มที่เกี่ยวกับการต่างประเทศว่า “ผมขอโทษ ถ้าผมทำให้พี่ไม่สบายใจเรื่องอะไรก็ขอขอบคุณที่ช่วยงานกันมา”
ส่วนก่อนจะปรับออกก็ได้เรียนแล้วว่าเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาตนได้เชิญหลายท่านเข้ามาพูดคุย ท่านปานปรีย์ก็เป็นหนึ่งในหลายๆ ท่านที่ตนเชิญมาพูดคุยกัน ตนเชื่อว่า วันนี้มันเป็นเรื่องการสนทนาระหว่างสองบุคคล ตนมั่นใจว่าตนพูดอะไรไป ตนในฐานะนายกรัฐมนตรีมีความชัดเจนในเรื่องของการที่ตนบอกกล่าวอะไรไป
ส่วนตอนนี้มองไปในอนาคตของตำแแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอย่างไร นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ก็ต้องมีการทูลเกล้าฯรายชื่อใหม่และตามประกาศคณะรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชยชัย จะเป็นผู้ดูแล ส่วนคนใหม่ที่จะมาดำรงตำแหน่งนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “มองหาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ เพราะยังต้องผ่านคณะกรรมการคัดกรองคุณสมบัติ ไม่อยากบอกไปแล้วแล้วมีความสมหวังหรือผิดหวังอีก ต้องเคารพในแง่ของกระบวนการขั้นตอนต่างๆที่มีมา เข้าใจว่าทั้งหมดนี้มีคนสมหวังหรืออาจจะไม่พอใจ ไม่ใช่แค่รัฐมนตรีปานปรีย์ท่านเดียว แต่ผมรับผิดชอบ และต้องมีการพูดคุยกัน”
เมื่อถามว่าคนที่เล็งไว้เป็นคนในพรรคหรือคนนอก นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พูดลำบากเพราะจริงๆแล้ว ท่านอยู่ในแวดวงของการทูตมาและอยู่ในวงการเมืองด้วย และเป็นเบื้องหลังของพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด และจิตวิญญาณแน่นอนครับว่ายึดโยงกับพี่น้องประชาชน
ส่วนนายปานปรีย์ระบุว่าจำเป็นจะต้องดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเพื่อการเจรจา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็มีเหตุมีผล แต่ทุกๆกระทรวงเองก็อยากจะควบตำแหน่งรองนายกฯหรือไม่ หลายๆตำแหน่งก็ต้องมีการประสานกับหลายหน่วยงาน ปัจจุบันก็มีรองนายกฯหลายท่านแล้ว
“6 ท่านแล้ว ผมเชื่อว่าเพียงพอ และมันมีกี่กระทรวง ถ้าทุกกระทรวงต้องควบรองนายกฯ 9 กระทรวงก็คงเป็นไปไม่ได้ และอย่างที่ผมพูดว่าไม่อยากมาอธิบายอะไรมากมาย แต่รัฐบาลก็มีทั้งรองนายกฯ ควบรัฐมนตรีต่างประเทศ หรือบางรัฐบาลก็ไม่มีรองนายกฯควบรัฐมนตรีต่างประเทศเหมือนกัน ผมก็เชื่อว่า ใช้คำว่าอำนวยความสะดวกในการผลักดันหากมีความจำเป็นต้องทำงานข้ามกระทรวง เช่น วีซ่าฟรีที่ต้องมีการทำงานไปถึงกระทรวงมหาดไทย ฝ่ายความมั่นคงด้วย เรื่องของการทำ FTA ก็ต้องมีการทำงานเกี่ยวข้องกับกระทรวงพาณิชย์ด้วย ผมเชื่อว่าเราทำงานเป็นทีมได้อยู่แล้ว
หากพูดถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการควบผมถือว่าอาจจะไม่จำเป็น แต่หลายๆเรื่องมุมมองของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป เราเองก็มีวิธีการทำงานที่แตกต่างกันไป แต่เรายึดโยงเรื่องของความเป็นมิตรดีกว่า และก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน แต่อย่างที่ผมเรียน หากผมทำอะไรให้ไม่พอใจ ผมก็ขอโทษท่านไปแล้ว มันเป็นเรื่องของความเห็นต่าง แต่ทั้งหมดนี้ผมรับผิดชอบและก็จะพยายามดำเนินการต่อไปด้ยเอาจุดมุ่งหมายของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง”
ส่วนรู้สึกเสียดายบทบาทของนายปานปรีย์หรือไม่ เพราะถูกชมทั้งจากฝ่ายค้านและรัฐบาล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตรงนี้ผมเสียดายทุกคนที่ต้องมีการเปลี่ยนออกไป แต่ในบริบทของการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปในทุกๆ ช่วงเวลาที่เราบริหารประเทศ ก็มีความจำเป็นหรือความต้องการในการแก้ไขปัญหาจึงต้องมีการเปลี่ยนบุคลากรไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริหารหรือฝ่ายนิติบัญญัติต้องปรับให้เป็นบุคคลที่มีความเหมาะสม หรือชำนาญมากกว่าไปทำหน้าที่ ไม่ได้หมายความว่าท่านที่ถูกปรับไม่มีความสามารถในการบริหาร แต่อย่างที่บอกรัฐบาลมีอายุ 4 ปี และในอดีตไม่ใช่ว่าท่านออกไปแล้วจะไม่กลับมาอีก เพราะมีหลายเคสที่ออกไปแล้วก็กลับมาอีก
เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีพูดมาตลอดว่าถ้าการปรับครม. ครั้งนี้มั่นใจใช่หรือไม่ว่าจะไม่ผิดฝา ผิดตัว นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มั่นใจ แต่แน่นอนว่ามุมมองของแต่ละคนก็มีความเห็นหรือความเข้าใจ ในบุคคลนั้นนั้นที่จะมาทำงานแตกต่างกันออกไป ซึ่งตนมั่นใจว่าบุคคลที่จะมาทำงาน มีความสามารถ มีความรู้และความเชี่ยวชาญ ตรงตามกระทรวงทุกอย่าง
ส่วนได้มีการเตรียมตำแหน่งปลอบใจ ให้กับรัฐมนตรีที่ถูกปรับออกบ้างหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ก็ได้มีการเตรียมไว้ ซึ่งต้องมีการคุยกันภายในพรรค ยืนยันตนไม่มีความขัดแย้งส่วนตัวกับรัฐมนตรีท่านใดท่านหนึ่ง แต่ก็เข้าใจได้ว่าคงมีคนผิดหวัง สมหวัง ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของตนที่ต้องบริหาร เรื่องของความคาดหวัง เรื่องของหน้าที่ใหม่ใหม่ ควบคู่ไปกับหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
ส่วนได้มีการคุยกับน.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ว่าอาจจะเกิดแรงกระเพื่อมขึ้นได้ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า คุยกันตลอด บางวันก็สองถึงสามครั้ง ในช่วงที่จะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรี ยืนยันมีการรับฟังข้อคิดเห็นจากทุกฝ่าย
เมื่อถามว่ารัฐมนตรีอีกคนที่พูดถึงในโซเชียลมีเดีย คือนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีบทบาทสำคัญ ในพรรคในช่วงของการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาล นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไม่ใช่แค่นพ.ชลน่าน คนเดียว แต่ยังมีนายไชยา พรหมา อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และพวงเพ็ชร ชุนละเอียด อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็เป็นบุคคลที่ยืนเคียงบ่า เคียงไหลกันมา ในช่วงของการเลือกตั้ง คุณเคยพูดว่าพี่หมอชลน่าน ช่วยติวเวลาจะลงพื้นที่ รวมถึงวิธีการปราศรัย เราต่อสู้ด้วยกันมา แต่ยืนยันว่า ไม่ได้เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ได้มีความขัดแย้งอะไร เข้าใจว่าคงมีความผิดหวัง แต่เดี๋ยวต้องมีการพูดคุยกัน หวังว่าทุกอย่างจะเดินไปข้างหน้าได้
เมื่อถามว่าสิ่งแรกที่จะจะพูดกับคณะรัฐมนตรี ที่มีการปรับแล้วในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรกคืออะไร นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ตนมีสองขั้นตอน ซึ่งคงจะพูดเป็นการส่วนตัวก่อน ว่าตนมีความคาดหวังอย่างไร บางคนมีการรู้จักและทำงานร่วมกันมาแล้ว แน่นอนว่าต้องมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่ต้องปรับปรุง ขณะเดียวกันตนก็จะฟัง ว่าทำงานร่วมกันมา แล้วถูกเปลี่ยนกระทรวงหรือเข้ามาใหม่ ท่านมองเห็นว่าผมมีความบกพร่องเรื่องไหน ก็จะนำไปพิจารณา ในการที่จะแก้ไข และปรับปรุง เป็นเรื่องของการสื่อสารสองทาง
ซึ่งตนถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก ในแง่ของการพูดคุยเจรจากับรัฐมนตรี ที่เข้ามาใหม่ ส่วนในองค์รวม ที่จะมีการพูดคุยกันในการประชุมคณะรัฐมนตรี ครั้งต่อไปแน่นอนว่าต้องพูดถึงประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก รวมถึงเรื่องการประสานงานระหว่างกระทรวง ก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะปัจจุบันไม่ใช่ว่า งานได้คนเดียว บางเรื่องต้องอาศัยหลายกระทรวงทำงานร่วมกัน ในการผลักดันข้อกฎหมาย และการบริหารราชการแผ่นดิน รวมถึงการผลักดันนโยบายหลักของรัฐบาล
ส่วนจุดแข็งและจุดอ่อนของรัฐบาลที่ผ่านมาคืออะไร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ตนคิดว่าไปคุยในที่ที่เหมาะสมดีกว่า แต่ละคนอาจจะไม่ได้อยากให้บอกว่าจุดแข็งและจุดอ่อนคืออะไร เป็นเรื่องที่ต้องเคารพสิทธิส่วนบุคคล เป็นเรื่องของการบริหาร ซึ่งตนก็น้อมรับในเรื่องที่ตนบกพร่อง ทำไม่ถูกต้องหรือทำไม่ดี ตนน้อมรับอยู่แล้ว
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews