นายกฯ ร่วมงาน UBS AIC 2024 ย้ำไทยพร้อมเปิดรับการลงทุนต่างชาติ นำเสนอนโยบายเศรษฐกิจ เชิญชวนภาคเอกชนมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยเพื่อความสำเร็จร่วมกัน
ที่โรงแรม Four Seasons เขตบริหารพิเศษฮ่องกง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมงาน UBS Asian Investment Conference (AIC) 2024 งานรวมตัวของภาคธุรกิจ นักลงทุนจากสถาบันการเงินทั่วโลกและบุคคลที่มีชื่อเสียงในภาคธุรกิจ มากกว่า 2,000 ราย รวมทั้งบริษัทในเอเชียแปซิฟิก 300 แห่ง ซึ่งได้มาหารือกันถึงสถานการณ์เศรษฐกิจโลก และการค้า การลงทุน ในภาคต่างๆ
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “Wisdom: An eye on the past, a view to the future” ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายและวิสัยทัศน์ของรัฐบาล ที่นำภูมิปัญญา หรือ Wisdom จากประสบการณ์ในอดีตมาเป็นแนวทางในการรับมือกับความท้าทาย และกำหนดอนาคตของประเทศไทย โดยความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวของไทยที่มีมาตั้งแต่อดีตนี้ ถือเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้ไทยผ่านพ้นสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ในปัจจุบันที่ซับซ้อน และสามารถคว้าโอกาสที่ช่วยประเทศให้เติบโตทางเศรษฐกิจได้ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้นำเสนอนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมถึงวิสัยทัศน์ต่ออนาคตของประเทศไทย
ส่วนของการกำหนดนโยบาย เป้าหมายของรัฐบาล คือ การสร้างนโยบายเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ทำให้เศรษฐกิจเติบโตด้วยการส่งเสริมนวัตกรรม ควบคู่กับการให้ความสำคัญกับความยั่งยืน โดยมีแนวทางในการเสริมสร้างเสถียรภาพทางการคลัง การปฏิรูปกฎระเบียบ และการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในสาขาที่สำคัญ อาทิ ไทยปรับปรุงมาตรการด้านภาษีเพื่อดึงดูดการลงทุนมากขึ้น และปรับปรุงกระบวนการในการดำเนินธุรกิจ ขจัดอุปสรรคด้านขั้นตอนเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมด้านธุรกิจและการเติบโตของผู้ประกอบการ
รวมทั้งลดความซับซ้อนในการออกใบอนุญาตทำงานสำหรับแรงงานต่างชาติ พัฒนาระบบ Super License สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ลดข้อจำกัดการนำเข้าและส่งออกและการส่งเสริมพลังงานสะอาด โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลก
ด้านนโยบายการค้า รัฐบาลจะตั้งเป้าหมายให้ไทยเป็นพันธมิตรที่สำคัญสำหรับ Supply Chain ทั่วโลก โดยดำเนินการลดข้อจำกัดการนำเข้า-ส่งออก เร่งการเจรจา FTA กับเขตเศรษฐกิจสำคัญ ๆ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ประกาศว่า การเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรป ที่มีความคืบหน้าและคาดว่าจะลงนามความตกลงได้ภายในปี 2568
ด้านการดำเนินธุรกิจ รัฐบาลกำลังสร้างกลไกในการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบใหม่ ซึ่งขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ควบคู่กับการส่งเสริมธุรกิจที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งยังปรับปรุง ease of doing business กฎระเบียบและการแปลงบริการภาครัฐให้เป็นดิจิทัล และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น สนามบิน และโครงการ Landbridge
ด้านการพัฒนามนุษย์ รัฐบาลพร้อมเสริมสร้างบุคลากรให้มีความพร้อมสำหรับอนาคต ด้วยการส่งเสริมการศึกษา ทักษะ และการเรียนรู้ตลอดชีวิต ส่งเสริมการศึกษาในวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) ให้กับเยาวชนตั้งแต่ยังเด็ก รวมถึงมีหลักสูตรในการปรับทักษะทางวิชาชีพสำหรับแรงงานที่มีอยู่ด้วย นอกจากนี้ รัฐบาลมีแผนที่จะดึงดูดผู้มีความสามารถจากต่างชาติ ด้วยการปรับปรุงการออกใบอนุญาตทำงานและกระบวนการขอวีซ่า และเสนอสิทธิประโยชน์ เพื่อเติมเต็มช่องว่างด้านแรงงานที่มีทักษะ
ด้านการส่งเสริมความยั่งยืนไทยให้ความสำคัญกับการเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุม ผ่านการปรับปรุงเศรษฐกิจสีเขียว และการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานไปสู่พลังงานสะอาด ในขณะที่เพิ่มความพยายามเป็นสองเท่าในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 และ net-zero ภายในปี 2065 ซึ่งในปี 2040 ไทยจะกลายเป็นผู้ผลิตพลังงานสะอาดชั้นนำในภูมิภาค โดย 50% ของไฟฟ้าทั้งหมดในประเทศไทยมาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน พร้อมเชิญชวนภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญด้านพลังงานสะอาดมาร่วมลงทุนในไทยมากขึ้น
ซึ่งในปีนี้รัฐบาลมีแนวทางที่จะใช้เงินทุนจำนวนเกือบ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ (3 หมื่นล้านบาท) ในตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน และเน้นย้ำถึงความยั่งยืนทางการเงินและการคลัง ซึ่งไทยยังคงรักษาระดับหนี้สาธารณะและการขาดดุลทางการคลังอยู่ในขอบเขตที่จัดการได้ และด้วยทุนสำรองระหว่างประเทศที่เพียงพอ ไทยจะยังคงรักษาการเติบโตและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไว้ได้
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงวิสัยทัศน์ Ignite Thailand ทั้ง 8 วิสัยทัศน์ ซึ่งจะขับเคลื่อนให้ไทยเป็นศูนย์กลางที่ครอบคลุมทั้งด้านการบิน ซึ่งไทยจะอัพเกรดสนามบินที่มีอยู่และสร้างสนามบินเพิ่มเติม เพื่อให้บริการมากขึ้นและเป็นทางเลือกของการคมนาคม, การท่องเที่ยว ซึ่งปีหน้าจะเป็นปีสำคัญของการท่องเที่ยวไทย รัฐบาลอยู่ระหว่างการพูดคุยเพื่อจัดกิจกรรมระดับโลกจัดที่ประเทศไทย
อาทิ Art Basel และ Formula 1, การรักษาพยาบาลและสุขภาพ, การเกษตรและอาหาร, การขนส่ง, การผลิตยานยนต์แห่งอนาคต, เศรษฐกิจดิจิทัล และศูนย์กลางทางการเงิน โดยนายกรัฐมนตรีประกาศว่า ต้องการทําให้ประเทศไทยเป็น “สถานที่ที่น่าอยู่” เป็นสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคของบริษัททางการเงิน ซึ่งเป็นด้านที่ไทยมีศักยภาพ ด้วยการสนับสนุนการลงทุนของรัฐบาล ประกอบกับศักยภาพของประเทศไทย ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าวิสัยทัศน์นี้อยู่ใกล้แค่เอื้อม
โดยนายกรัฐมนตรีเชิญชวนทุกคนร่วมการเดินทางในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาล บวกกับศักยภาพของประเทศไทยที่มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อนวัตกรรมและการเติบโต นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า จะทำให้ทุกฝ่ายสามารถสร้างอนาคตที่เจริญรุ่งเรือง ยั่งยืน และครอบคลุมร่วม เพื่อประโยชน์ และความสำเร็จร่วมกัน
ในช่วงท้ายนายกรัฐมนตรีประกาศถึงความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับทุกคน เพื่อมุ่งให้บรรลุความสำเร็จร่วมกัน และเน้นย้ำความพร้อมสู่การเปิดประตูต้อนรับการลงทุนในประเทศไทยจากต่างชาติ
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews