ผู้ค้ารายย่อยในโคราช กังวลความชัดเจนเงินดิจิทัล 10,000 บาท หวั่นร้านค้าขนาดเล็กเมินไม่ร่วม จี้รัฐบาลทบทวนเรื่องภาษีย้อนหลัง
ภายหลังจากที่รัฐบาลเคาะโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เพื่อแจกให้กับประชาชนที่เข้าเกณฑ์จำนวน 50 ล้านคน โดยจะเริ่มเปิดให้ประชาชนโหลดแอพลิเคชั่น “ทางรัฐ” เพื่อให้ลงทะเบียนรับเงินผ่านแอพลิเคชั่นทางรัฐ และเริ่มใช้เงินได้ในช่วงเดือนตุลาคม 2567 นั้น
วันนี้ ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่สอบถามความคิดเห็นของผู้ประกอบการร้านสะดวกซื้อ ในพื้นที่ อ.เมืองนครราชสีมา ซึ่งพบว่าส่วนใหญ่เห็นด้วยกับโครงการแจกเงินดิจิตอล 10,000 บาท
เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็รู้สึกกังวลใจว่าเงินจะไม่กระจายไปสู่ร้านค้าขนาดเล็ก หรือร้านค้าชุมชนตามที่รัฐบาลตั้งความหวังไว้ โดยนายจักริน เชิดฉาย เจ้าของร้านหมอยาพลาซ่า หนึ่งในผู้ประกอบการร้านสะดวกซื้อท้องถิ่นของโคราช กล่าวว่า โครงการอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นถือว่าเป็นนโยบายที่ดี ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้
แต่โครงการแจกเงินดิจิตอล 10,000 บาท ของรัฐบาลนั้น ยังไม่มีความชัดเจนนัก โดยเฉพาะเรื่องของการเก็บภาษีย้อนหลัง ทำให้ร้านค้าขนาดกลางและขนาดเล็ก ตามชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศ ที่ขาดสภาพคล่อง ไม่กล้าเข้าร่วมโครงการ ส่งผลให้เงินที่รัฐบาลอัดฉีดลงมา ไหลไปสู่ร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่ ที่เขามีสภาพคล่องทางการเงินดีกว่า ดังนั้นตนเองจึงอยากให้รัฐบาลมีความชัดเจนว่า จะทำอย่างไรให้เงินเหล่านี้ กระจายไปสู่ร้านค้าในชุมชน แม่ค้าในตลาดนัด รายเล็ก รายน้อย ที่มีอยู่มหาศาลได้
โดยอาจจะนำเรื่องของรายได้มาคิดอัตราภาษี เช่น หากร้านใดมีรายได้เดือนละไม่ถึง 1 แสนบาท ก็ให้ยกเว้นภาษีเสีย แต่ถ้ามีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 1-5 แสนบาท ก็ค่อยคิดภาษีตามขั้นบันใดไป ก็จะทำให้ร้านค้าขนาดเล็กอยากจะเข้าร่วมโครงการนี้จำนวนมาก เพราะถ้าเงินไปอยู่ในมือของนายทุนรายใหญ่ ตนเชื่อว่าเงินจะไม่หมุนเวียนไปกระตุ้นเศรษฐกิจระดับฐานรากอย่างแน่นอน แต่ถ้าทำให้พ่อค้า แม่ค้า รายเล็ก รายน้อย ได้เงินเหล้านี้ไป ก็จะทำให้คนเหล่านี้นำเงินไปจับจ่ายซื้อของกระจายไปในชุมชนต่างๆ ซึ่งจะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระดับฐานรากได้เป็นอย่างดีแน่นอน.
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews
