นายกฯ ชี้ น่าคิดผลสำรวจนิด้าโพลย้อนแย้งกับสำงานสติถิ แต่พร้อมน้อมรับคำ มั่นใจไตรมาส 4 ศก.ดีขึ้น รับการเมืองควบคู่เศรษฐกิจ แต่ฝ่ายบริหารต้องลดความขัดแย้ง มอง ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ไม่ได้ปลุกปั่นแต่หวังดีกับบ้านเมือง ไม่หวั่นกระทบเสถียรภาพ รบ. ตนมีหน้าที่ประสานใจพรรคร่วม บอกอำนาจเชิงซ้อนหรือไม่แล้วแต่คนมอง แต่อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ที่ตน ยืนยันยังยิ้มได้แม้บางทีกัดฟันอยู่
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชนที่ระบุว่า 9 เดือน รัฐบาลเศรษฐา ส่วนใหญ่ยังไม่พอใจการทำงาน มองการบริหารจัดการล่าช้าและงานไม่คืบหน้าเท่าที่ควร ว่า ตนว่าตรงนี้ก็น่าคิดอยู่เหมือนกัน เพราะสำนักงานสถิติแห่งชาติก็เพิ่งมีผลสำรวจออกมา ว่าจริงๆแล้วตัวเลขมันก็ออกมาใช้ได้ ขณะที่นิดาโพลก็อีกหนึ่งอาทิตย์ให้หลัง ซึ่งย้อนแย้งกัน แต่ตนก็ยินดีรับฟังเพราะพูดมาตลอด ว่าเสียงที่เราควรที่จะได้ยินไม่ใช่เป็นเสียงชมอย่างเดียว และก็ควรเป็นเสียงที่มีอคติด้วย เราก็พยายามไปดู ว่าวิธีการที่เราทำสถิติ เก็บตัวเลขมาเป็นอย่างไร ครบทุกหมวดทุกเหล่า ถามเกษตรกรหรือเปล่า แต่สมมุติว่ายังไม่พอใจ ตนคิดว่าทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ มีความเข้าใจถึงความเดือดร้อนของประชาชน และน้อมรับในผลโพลที่ออกมา ต้องพยายามทำให้ดีขึ้น ส่วนมีความมั่นใจใช่หรือไม่ว่าในไตรมาสที่สี่ ตัวเลขทางเศรษฐกิจจะดีขึ้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า มั่นใจ
ส่วนกรณีภาคเอกชนมีความกังวลว่าเรื่องของการเมือง จะกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ จะต้องทำอย่างไรเพื่ออุดช่องโหว่ตรงนี้ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เรื่องของการเมืองก็จะควบคู่ไปกับเรื่องเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของประชาชน แต่หน้าที่ผู้หลักผู้ใหญ่บ้านเมือง ที่อยู่ในฝ่ายบริหาร ก็ต้องบริหารไป เราพยายามลดทอนเรื่องความขัดแย้ง การใช้คำพูดที่เป็นการท้าทาย เราทราบดีว่าเรื่องการเมืองคืออะไร แต่อย่าให้เรื่องเหล่านี้มาบั่นทอน แต่ละคนมีหน้าที่อะไรก็ทำกันไป เหนือสิ่งอื่นใด ต้องใช้ความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นที่ตั้ง เพราะการเมืองก็วิ่งสู่ความต้องการของพี่น้องประชาชน แต่ใครมีวิธีการที่แตกต่างกันไป ก็น้อมรับและยินดีรับฟัง
ส่วนกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีออกมาให้สัมภาษณ์เมื่อวานนี้และถูกมองว่าเป็นลักษณะคล้ายการปลุกปั่น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ตนไม่ได้มองว่าเป็นการปลุกปั่น เชื่อว่า แต่ละคนมีวิธีการคิดที่แตกต่างกันไป แต่เชื่อว่านายทักษิณและคนอื่นๆที่ออกมาให้ข่าวในช่วงหลัง ทุกคนเป็นห่วงบ้านเมือง ซึ่งก็มีวิธีการการพูดและการตักเตือนที่แตกต่างกันไป ฝ่ายบริหารก็มีหน้าที่รับฟัง อะไรที่เหมาะสมต่อบริบท หรือสถานการณ์โดยรวมของประเทศ ก็เป็นหน้าที่ที่เราต้องรับมาพิจารณา และรับไปปฏิบัติ
ส่วนกรณีที่ทำให้สัมภาษณ์ของนายทักษิณมองว่า มีลักษณะกระทบชิ่งไปยังพรรคร่วมรัฐบาลจะทำให้กระทบเสถียรภาพของรัฐบาลหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า คนอยู่ด้วยกันก็มีทั้งเห็นด้วยและเห็นต่าง ตนในฐานะหัวหน้ารัฐบาลก็มีหน้าที่ประสานใจ หากมีเรื่องข้องใจกันก็ต้องมานั่งพูดคุยกัน ตนก็พยายามพูดคุยกับพรรคร่วมอยู่แล้ว
ส่วนปัญหาที่เข้ามาต่างๆจะทำให้เป็นความท้าทายและจะทำให้การทำงานสะดุดลงหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า เป็นเรื่องท้าทายแน่นอน และมีความเป็นห่วง แต่มั่นใจว่าการทำงานจะไม่สะดุด เพราะเชื่อว่าแรงบันดาลใจจากการที่ประชาชน ยังไม่มีความสุขพอ เป็นแรงบันดาลใจที่ผู้บริหารทุกคนอยากจะเห็นความสุข อยู่ในชีวิตของประชาชน พร้อมย้ำว่าท้าทายแต่สะดุด
ส่วนกรณีที่มีการมองว่าการเคลื่อนไหวของนายทักษิณ กระทบภาพลักษณ์ของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย จะต้องมีการพูดคุยกันหรือไม่ นายเศรษฐา ระบุว่า โดยส่วนตัว พยายามทำตัวให้เป็นน้ำไม่เต็มแก้ว ในข้อแนะนำต่างๆ บางทีสื่อมวลชน แนะนำอะไรมาก็ถือว่าแนะนำแรง บางคนก็พูดจาไพเราะ แต่เราอย่าไปดูว่าวิธีการที่นำเสนอมา มันรุนแรงเสียดทานหรือก้าวร้าว เรามองในเจตนารวมจะดีกว่า เชื่อว่า ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน อยากเห็นประเทศชาติเดินไปข้างหน้า แต่ทุกคนก็มีวิธีการทำงาน มีจุดมุ่งหมายแตกต่างกันไป พยายามมองให้เป็นบวกดีกว่า อย่างที่ตนบอกว่าเป็นความท้าทาย
เมื่อถามว่าก่อนสภาจะเปิดสมัยฯจะมีการพูดคุยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พูดคุยกันมาตลอดและจะคุยกันต่อไป ขณะที่ในวันจันทร์นี้จะมีการประชุมคณะทำงานด้านเศรษฐกิจ ก็จะมีโอกาสได้เจอกับพรรคร่วมฯ
ผู้สื่อข่าวถามย้ำถึงความกินแหนงแคลงใจ จากกรณีนายทักษิณให้สัมภาษณ์ ที่พาดพิงถึงบุคคลในป่า ที่ทำให้เกิดความวุ่นวาย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนคงไปนั่งสนทนากันในเรื่องที่พูดไปแล้ว ให้มีทางออกได้สำหรับทุกฝ่ายมากกว่า เพราะทางออกของทุกฝ่ายก็คือปัญหาของประชาชน เน้นย้ำตรงนี้ดีกว่า
เมื่อถามว่ารู้สึกท้อบ้างหรือไม่ที่ทำงานมาตลอด 9 เดือนแต่ผลสำรวจก็ย้ายออกมาไม่เป็นที่พอใจของประชาชน ส่วนเรื่องการเมืองก็มากระทบ ทำให้บั่นทอนความรู้สึกบ้างหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ เมื่อเข้าสู่การเมือง หากเรื่องพวกนี้เกิดขึ้น เราก็ต้องพร้อมที่จะรับมือ
เมื่อถามว่าการเคลื่อนไหวลักษณะอำนาจเชิงซ้อนระหว่างนายทักษิณ กับนายกรัฐมนตรี มีผลต่อสายตาของนักลงทุนต่างชาติบ้างหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ตนไม่พูดว่าอำนาเชิงซ้อนมีหรือไม่มี แล้วแต่คนจะไปคิดกันเอง แต่อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ที่ตน ตนเป็นคนเซ็น เป็นคนลงนาม แต่แน่นอนว่าอดีตนายกท่านไหนตนก็เข้าไปหา ถ้ามีอะไรที่จะแนะนำตนน้อมรับ รวมถึงคนอื่นๆ ดังนั้นตนเชื่อว่าอย่าใช้คำว่าอำนาจซ้อนดีกว่า เราใช้คำว่ารัฐบาลนี้รับฟังความเห็นทุกฝ่าย พร้อมยอมรับว่าต่างชาติก็เคยตั้งคำถามนี้ แต่เชื่อว่าตนพิสูจส์ได้ด้วยการทำงานตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา ว่าการทำงานที่ทีเสถียรภาพที่สุด คือการที่เรารับฟังความเห็นของทุกภาคส่วน
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวด้วยว่า สมัยก่อนเจอปัญหาก็เป็นแค่วิกฤติของบริษัทเอกชน มีอะไรเกิดขึ้นในเชิงลบก็กระทบกับคนหมู่น้อย แต่ถ้าเป็นเรื่องการเมือง ในตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของประเทศ เป็นหน้าที่ที่นายกรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบประชาชน 70 ล้านคนมันใหญ่กว่า แต่ถามว่าพร้อมไหมที่จะเผชิญและหาทางแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ตนถือว่า พร้อม ถ้าดูจากวิธีการทำงานจะเห็นว่าตนไม่ย่นย้อ ยังเดินหน้าทำงานต่อไป พรุ่งนี้ก็ตื่น 7 โมงเช้าไปทำงาน ในช่วงท้ายผู้สื่อข่าวแซวว่านายกรัฐมนตรียังยิ้มได้ นายกรัฐมนตรี ระบุพร้อมรอยยิ้มว่า ครับ ยิ้มได้อยู่ครับ บางทีก็กัดฟันเหมือนกัน
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews