“จุรินทร์” ฟาดรัฐบาลจัดงบฯ “ขี้ฮก ทั้งขี้เหร่” 4 เพิ่ม 1 ลด เย้ย ดิจิทัล Wallet จากนโยบายเรือธงกลายเป็นเรือเกลือ แถมฉายาให้ “เศรษฐา” นักกู้ผ้าขาวม้าพันคอ
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ต่อจากผู้นำฝ่ายค้านฯ โดยตั้งชื่อให้งบประมาณปี 2568 ว่า ทั้ง “ขี้ฮก ทั้งขี้เหร่” 4 เพิ่ม 1 ลด คือ การเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ และจะลดการขาดดุลงบประมาณ แต่ปรากฏว่า เมื่อดูตัวเลขลึกลงไปในรายละเอียด กลายเป็นคนละเรื่อง เหมือน “สภาศาลาโกหก”และหักลึกลงไปยิ่งกว่านั้นรายละเอียดก็ไม่ได้งดงามอย่างที่นายกรัฐมนตรี นำเสนอเมื่อช่วงต้น
เรื่องขี้เหร่ เรื่องแรก คือ รายได้ หากรายได้น้อยรายได้ลดรายจ่ายสูงงบก็ขาดดุลสุดท้ายก็ต้องกู้เพื่อชดเชยการขาดขาด รายได้น้อยรายจ่ายมากก็จะทำให้ประเทศเป็นหนี้มาก นี่ล้นพ้นตัวสุดท้ายไปต่อไม่ได้ดังนั้นรายได้จึงเป็นส่วนสำคัญ ซึ่งในงบประมาณมีการประเมินรายได้เอาไว้เพียงแค่ 76.9% ซึ่งน้อยกว่าปีที่แล้ว ไม่ตรงกับที่นายกรัฐมนตรีสัญญากับสภาเอาไว้
ขี้เหร่ ที่สอง คือ การขาดดุลงบประมาณ แต่ปรากฏว่า นอกจากไม่ลดแล้วยังเพิ่มการขาดดุลอีกมหาศาล สูงถึง 24.9% หรือราว 8.6 แสนล้าน ซึ่งปีที่แล้วตั้งงบขาดดุลไว้เพียงแค่ 6.9แสนล้านเท่านั้น นายกรัฐมนตรีจะอ้างว่าขาดดุลเพราะโครงการดิจิทัล Wallet ไม่ได้ ซึ่งจะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น ตลอดสี่ปีที่อยู่ในอายุของรัฐบาล และจะเพิ่มขึ้นทุกปีทบกันไป ดูจากแผนการคลังระยะปานกลาง ปี 2568 จนถึง 2572
ขี้เหร่ที่สาม เรื่องเงินกู้ งบประมาณ 2 ปีรัฐบาลกู้มาชดเชยการขาดดุลถึง 1.5ล้านล้านบาท รวมถึงการกู้มาแจกในโครงการดิจิทัล Wallet 1.5 แสนล้าน ยังไม่รวมส่วนต่างที่เหลือที่ต้องกู้เพิ่มอีก ซึ่งหากรวมแล้วอีกประมาณ 1.9 ล้านล้านบาท หากรวมบริหารสองปีกู้เกือบ 2 ล้านล้านบาท นายจุรินทร์ ระบุด้วยว่า เมื่อปีที่แล้วตนเองตั้งฉายาให้กับนายกรัฐมนตรีว่าเป็น “ นักกู้ถุงเท้าสีชมพู” แต่ปีนี้ ขอให้เป็น ”นักกู้ผ้าขาวม้าพันคอ“
สำหรับขี้เหร่ที่สี่ คือ การตั้งจีดีพีเกินจริง เพราะ ตัวเลขประมาณการจีดีพีปี 2567+ ขึ้นมา 4.1% แต่จากสถาบันต่างๆ รายงานว่าบวกขึ้นมาแค่ 2% ขณะเดียวกันในปี 2568 รัฐบาลประมาณการจีดีพีสูงถึง 4.9% เป็นการตั้งจีดีพีจากจีดีพีเดิมที่เกินจริงอยู่แล้ว จึงกลายเป็น “จีดีพีฟองสบู่” แต่หลายสถาบันประเมินแล้วว่าในปี 2568 จีดีพีของประเทศจะโตเพียงแค่ 3% เท่านั้นแม้แต่สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติก็ยังประเมินในตัวเลขเท่านี้
ขี้เหร่ที่ห้า โครงการดิจิทัล Wallet จากนโยบายเรือธงกลายเป็นนโยบายเรือเกลือไปแล้ว ตนเองทวงถามแทนประชาชนทุกครั้ง เพราะตั้งหลักว่าเมื่อรัฐบาลสัญญากับประชาชนไว้แล้วก็ต้องมีความรับผิดชอบ ล่าสุดรัฐบาลแถลงออกมาสามข้อ แจกแน่ในไตรมาส4 แจกรวดเดียว 500,000 ล้านบาท ไม่แยกเป็น นั่นหมายความว่าต้องมีเงินครบทั้งหมดจึงจะแจกใช่หรือไม่
ซึ่งที่มาของเงินมาจากสามแหล่งสำคัญ คืองบปี 2568 – งบปี 2567- กู้ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ โดยนักวิชาการต่างยืนยันว่า ไม่สามารถนำมาให้รัฐบาลกู้ได้เพราะเป็นเงินสำหรับเกษตรกรฝืนทำไปก็จะผิดกฎหมาย
ดังนั้น ตนเองจึงขอถามรัฐบาลว่ายังไม่มีเงินซักบาทที่จะใช้ในโครงการนี้หรือไม่ เพราะยังรออนุมัติงบประมาณจากพระราชบัญญัติฉบับนี้ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลมีความพยายามที่จะใช้งบงบประมาณในปี 2567 ให้น้อยที่สุดเพื่อจะได้เหลือเงินไปสมทบกับโครงการดิจิทัล Wallet แต่หากรัฐบาลใช้วิธีการนี้จริงเป็นการทำงานที่ใจดำมากเพราะจะทำให้จีดีพีของประเทศในปี 2567 ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน
ทั้งนี้ ตนเองขอตำหนิรัฐบาลว่า จนถึงตอนนี้ยังไม่ถามความเห็นจากกฤษฎีกาว่า การกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์มาใช้ในโครงการดิจิตอล Wallet ทำได้หรือไม่ หากดำเนินการโครงการไปแล้วแต่ผิดกฎหมายใครจะรับผิดชอบ ดังนั้นอนาคตยังเหมือนกับแขวนอยู่บนเส้นด้าย ดังนั้นการตั้ง งบประมาณปี 2568 ก็ยังคงเป็นงบประมาณ “เป็ดขี้เหร่”
ขณะะที่ การลดรายจ่ายลด ภาระหนี้สินยังไม่เป็นชิ้นเป็นอันแต่รัฐบาลชุดนี้กำลังซ้ำเติมประชาชนอีก ด้วยนโยบายบาป ทั้งหวย และบ่อน อย่างเช่นหวย 3 ประเภท ลอตเตอรี่ หวยเกษียณ หวยสามตัวหวยN3 จากที่ตนเองลงพื้นที่พบประชาชน สะท้อนว่าขอตั้งชื่อให้รัฐบาลนี้ว่า “รัฐบาลสามหวย”
นอกจากนี้ นายจุรินทร์ กล่าวในช่วงสุดท้าย เกี่ยวกับการผลักดันในประเด็นพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้มีความสำคัญต่อการเมืองเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในอนาคต เพราะถือว่าการนิรโทษกรรมจะเป็นสารตั้งต้นตัวสำคัญที่จะพาประเทศไปสู่ความ ปรองดองหรือจะพาประเทศไปสู่ความแตกแยกครั้งใหญ่อีกครั้ง
จึงขอถามนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ในฐานะที่รัฐบาลคุมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรว่า รัฐบาลมีนโยบายเสนอหรือสนับสนุนนโยบาย พระราชบัญญ่ติ นิรโทษกรรมหรือไม่ ต้องเปิดเผยเพราะไม่ใช่ ความลับอะไร รัฐบาลจะสนับสนุนการนิรโทษกรรมที่รวมคดีทุจริตความผิดตามมาตรา 157 ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ และ คดีมาตรา 112 ด้วยหรือไม่ ที่ต้องถามเพราะตอนนี้บางคนในรัฐบาลเสียงเริ่ม แปลก
เพราะหากมีจะเปลี่ยนจากนิรโทษกรรมเพื่อความปรองดองเปลี่ยนพันธุกรรมเป็นนิรโทษกรรมอำพราง เพราะอดีตเคยสอนมาแล้วว่าจากนิรโทษกรรมครึ่งเข่งกลายเป็นนิรโทษกรรมยกเข่งและสุดท้ายบ้านเมืองเสียหายยับเยินหากนายกหรือรัฐบาลตอบได้กรุณาช่วยชี้แจงด้วย สุดท้ายตนเองเชื่อว่า ในตอนลงมติงบประมาณ 2568 วาระหนึ่งอย่างไร ก็ผ่านสภาแน่นอน เพียงแต่วาระ 3 อาจจะต้องถามศาลรัฐธรรมนูญ
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews