ฝ่ายค้านรุมถล่มงบกลาโหม “วิโรจน์” ชี้ไม่ตอบโจทย์ภัยมั่นคง “ชยพล” แนะให้กล้าหาญ สร้างอาวุธสัญชาติไทย “รอมฎอน” ปูดการข่าว กอ.รมน. ชี้ มีโจรใต้อยู่ในสภาฯ “ชัชวาล ไทยสร้างไทย”” อัดรัฐจัดงบ ปี68 ผิดฝาผิดตัว เปิดช่องทุจริตเพียบ
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สมัยวิสามัญ) เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท สส. ฝ่ายค้าน ต่างลุกขึ้นอภิปราย พุงเป้าโจมตีไปที่งบกระทรวงกลาโหม โดย นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศรสส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายในหัวข้อ “งบกลาโหม แบบหวังว่า แล้วทุกอย่างจะดีเอง สาธุ” ว่า กระทรวงกลาโหม มีรายจ่ายลงทุนในอัตราที่ต่ำอย่างน่าเป็นห่วง ข้อมูล ณ วันที่ 7 มิถุนายน 2567 พบอัตรารายจ่ายการลงทุน อยู่ที่ 17.67%
โดยกองทัพบกต่ำที่สุด 4.89% และคาดว่า จะมีการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนที่ย่ำแย่ไม่ทัน ไม่ส่งเสริมความมั่นคงของประเทศต่อภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงไป และนายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพิ่งจะระดมเปิดใบสั่งซื้อช่วงท้ายปีงบประมาณโดยมีกระแสข่าวว่า ที่ล่าช้า เพราะต้องใช้เวลาในการเรียกรับเงินทอนจากบริษัทโบรคเกอร์ แต่ไม่ยอมสั่งซื้อยานเกราะจากผู้ผลิตในประเทศที่มีประสิทธิภาพ เพียงแต่ไม่มีสำรองเงินทอนไว้ปรนเปรอนายพล
นายวิโรจน์ ยังย้ำว่า งบประมาณบุคลากรของกองทัพ ลดลง เพราะการทยอยเกษียณของกำลังพลในช่วงยุคสงครามเย็น ก่อน 14 ตุลา 16 และ 6 ตุลา 19 ที่มาครบกำหนดเกษียณในช่วงเวลานี้ ทำให้กำลังพล เกษียณตามธรรมชาติ ไม่ใช่เกิดจากความพยายามของรัฐมนตรี พร้อมจับตา ทอ. จัดซื้อเครื่องบินขับไล่ 1.95 หมื่นล้านบาท จะต้องคำนึงถึงนโยบายการชดเชยที่ทำให้ประชาชน ได้ประโยชน์ร่วมด้วย ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ การลงทุน และการถ่ายทอดเทคโนโลยี ไม่ใช่นำเงินไปซื้ออย่างดื้อ ๆ
นายวิโรจน์ ยังกล่าวสรุปว่า การจัดสรรงบประมาณของกระทรวงกลาโหม ไม่มียุทธศาสตร์ ไม่คำนึงบริบทความมั่นคงที่เปลี่ยนแปลงไป และภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ทำให้เชื่อได้ว่า งบประมาณกระทรวงกลาโหมในปี 2568 จะสร้างความมั่นคงให้ประเทศชาติ และประชาชนได้ รวมถึงการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง เพื่อให้กองทัพอยู่ใต้พลเรือน ปัจจัยคัญไม่ใช่แค่นายรัฐมนตรีเท่านั้น แต่กลไกสำคัญไม่แพ้กันคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ที่ยังคาดหวังอะไรไม่ได้มากกว่านี้ และงบฯ ปี 2568 ก็ไม่ได้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญ รัฐมนตรีฯ เป็นเพียงหุ่นเชิด เป็นโฆษกของกองทัพ ดำเนินนโยบายต่อของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และยังสามารถทำได้ดีกว่าพลเอกประยุทธ์ด้วยซ้ำ ดังนั้น พรรคก้าวไกล จึงไม่อาจรับหลักการร่างงบประมาณฯ ฉบับนี้ได้
ด้านนายชยพล สท้อนดี สส.พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ที่ประเทศไทยพึ่งพายุทธโธปกรณ์จากต่างประเทศเยอะในลักษณะซื้อมาใช้ไป ทำให้ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากประเทศต้นทาง ทั้งอะไหล่ การซ่อมหรือ อัพเกรดอาวุธ หากถูกตัดความสัมพันธ์ก็จะทำให้กองทัพไทยอ่อนแอลง จึงอภิปรายในหัวข้ออนาคตใหม่กลาโหมไทยที่ไม่สามารถอิกไนท์ไทยแลนด์ได้
จึงเสนอให้กล้าหาญกองทัพตั้งเป้าหมายพัฒนาในด้านที่ขาดอยู่ ใช้กลไกอุตสาหกรรมเทคโนโลยีป้องกันประเทศ โดยเริ่มจะสร้างอาวุธสัญชาติไทยให้เกิดขึ้นจริง และยกระดับคุณภาพอาวุธสัญชาติไทย และการส่งออกอาวุธให้กับประเทศอื่นๆ โดยเปลี่ยนจากการซื้ออาวุธมาแล้วใช้ไป เป็นการพัฒนา อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
ทั้งนี้ งบประมาณของกระทรวงกลาโหมมีหลายส่วนเกินความจำเป็น เช่น หนึ่งก้อนใหญ่ที่สามารถปรับให้กระชับขึ้นได้ งบของกองบัญชาการกองทัพไทย หน่วยงานนี้มีงบประมาณ 15,000 ล้านบาท เป็นงบประมาณบุคลากร 7,500 ล้านบาท และด้านอื่นอีก 7,600 ล้านบาท ซึ่งหน่วยงานนี้มีภารกิจรูปแบบการดำเนินงานคล้ายกับสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ต่างในรายละเอียดปีกย่อยแต่ถึงขั้น ต้องตั้งเป็นหน่วยงานแยกรับงบประมาณ เสนอให้คงงบประมาณด้านบุคลากรปรับโครงสร้างใหม่นำภารกิจที่มีของกองทัพไทยไปรวมกับสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมและจะเหลืองบประมาณให้ใช้ กับโครงการอื่นอีก 7,600 ล้านบาทต่อปี“
ด้านนายรอมฎอน ปันจอร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ตอนนี้เราเห็นการจัดงบประมาณแบบนี้ เราเสียใจ เพราะอยากให้รัฐบาล ภายใต้การนำของเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้ความใส่ใจกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มากกว่านี้ ไม่ใช่ Ignore แบบที่เป็นอยู่ รัฐบาลไม่ได้แยแสปัญหาความขัดแย้งชายแดนใต้ จัดแบบแผนเดิม ๆ หน่วยงานตั้งงบมา รัฐบาลไม่มีวาระที่ชัดเจน ไม่สะท้อนธงนำมุ่งสร้างนิติธรรม ที่เข้มแข็งตามแถลงตามนโยบาย ไม่สะท้อนจุดนี้ เศรษฐกิจ ปากท้อง
การท่องเที่ยวของนายนายกรัฐมนตรี ไม่เห็นทิศทางเป้าหมายที่จะยุตติความรุนแรงในปี 2570 ซึ่งดูจะห่างไกลนายรอมฎอน มีข้อเสนอว่า ต้องรื้อแผนบูรณาการแบบเก่า สร้างแผนบูรณาการใหม่ ปรับทิศทางสร้างสันติภาพ ทั้งนี้ งานข่าวกองของ กอ.รมน. เอง เวลาฟังบรีฟของ กอ.รมน. ก็บอกว่า โจรใต้ตอนนี้อยู่ในสภาฯ ของเราด้วย ตนก็ไม่แน่ใจว่า เขาหมายถึงใคร คือ การมองทุกอย่าง
กระบวนการทางการเมือง ความคิดเห็นที่แตกต่างเป็นภัยคุกคาม เป็นปัญหาต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งมาก ถ้าเอามุมมองแบบนี้นำ การประเมินสถานการณ์ก็จะยิ่งแย่ นั่นหมายความว่า ต่อไปรายงานที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ จังหวัดชายแดนใต้ที่รายงานต่อนายกรัฐมนตรีขึ้นไป ถ้าผ่านมุมมองแบบนี้ เป็นไปได้ว่าการตัดสินใจนโยบายของฝ่ายบริหารเอง จะถูกบิดเบือนไปจากความเป็นจริง
ส่วนนายชัชวาล แพทยาไทย สส.ร้อยเอ็ด พรรคไทยสร้างไทย อภิปรายว่า จากการศึกษาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 68 อย่างละเอียด ทําให้เห็นว่า การจัดสรรงบประมาณเป็นไปแบบผิดฝาผิดตัว ไม่ตอบโจทย์ หลายโครงการตั้งงบประมาณไว้สูงกว่าความเป็น จริง เปิดโอกาสให้มีการทุจริตคอรัปชั่นได้ง่าย เพราะหน่วยงานสามารถซื้อของในราคา แพงเกินจริง
เพื่อให้คนขายนําเงินมาทอน ให้กับผู้มีอํานาจในภายหลัง โดยฮั้วกันตั้งแต่การทํา TOR “จากช่องว่างของระเบียบที่เอื้อให้กับบางหน่วยงาน โดยเฉพาะหน่วยงานด้านความมั่นคง จึงเปิดโอกาสให้ ไอ้โม่งออกมาบงการผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ไปเข้ากระเป๋าของตัวเอง และพวกพ้อง
ในการพิจารณางบประมาณปี 67 ตนมีโอกาสทําหน้าที่เป็นอนุกรรมาธิการฯ ด้านความมั่นคง พบว่า หน่วยงาน หรือเหล่าทัพ จะของบประมาณจัดซื้อจัดหายุทโธปกรณ์ในกรอบกว้างๆ ไม่มีรายละเอียด เหมือนกับกระทรวงอื่นๆ โดยอ้างว่าเป็นความลับด้านความมั่นคง ซึ่งตรงนี้เองเป็นจุดอ่อน ให้คนชั่วเข้ามาทุจริต มีการสั่งซื้อที่ราคาเกินจริง ทั้งนี้ ขอเรียกร้องรัฐบาลให้สัญญากับสภาฯ ว่า กรรมาธิการงบประมาณจะมีโอกาสได้ดูรายละเอียดและตรวจสอบการทำสัญญาต่างๆ ไม่เช่นนั้นตนก็ยากที่จะเห็นด้วยกับ พ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews