นายกฯ สั่งดูแลพื้นที่ชายแดนเมียนมา และช่วยเหลือผู้อพยพตามหลักมนุษยธรรม และเตรียมระบบให้พร้อม ปชช. ลงทะเบียนเพื่อกระจายวัคซีนชัดเจน
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์ในประเทศเมียนมาว่า ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้ความสำคัญ พร้อมสั่งการและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการดูแลพื้นที่ชายแดน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ให้หน่วยงานด้านความมั่นคง กองทัพบก กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ทำงานร่วมกันและประสานกระทรวงต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินสถานการณ์และดูแลผู้หนีภัยที่เข้ามาในประเทศไทย
ซึ่งการดูแลจะเป็นไปตามหลักมนุษยธรรมและหลักสากล โดย นายกรัฐมนตรี ยังได้สั่งการให้ดูแลตามหลักสาธารณสุข ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ให้ทุกหน่วยงานยึดถือปฎิบัติและรายงานนายกรัฐมนตรีอยู่เป็นประจำ
ด้านนายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า กระทรวงต่างประเทศได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงย่างกุ้ง ว่า สถานการณ์ในกรุงย่างกุ้งยังไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก มีการประท้วง การปะทะเป็นจุดๆ แต่ยังสามารถจัดหาอาหารและสิ่งของเครื่องใช้ได้สะดวก ไม่ขาดแคลน
ซึ่งกระทรวงต่างประเทศ และสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงย่างกุ้ง ได้มีการจัดทำแผนช่วยเหลือและอพยพคนไทยไว้อยู่แล้ว และมีการประเมินสถานการณ์ทุกวัน นอกจากนี้ สถานเอกอัครราชทูต ร่วมกับทีมประเทศไทย ณ นครย่างกุ้ง รวมถึงผู้แทนชุมชนไทย และนักธุรกิจไทยมีการประชุม หารือเรื่องสถานการณ์กันอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการปรับปรุงซ้อมแผนการอพยพโดยตลอด และสอดคล้องกับเหตุการณ์
อธิบดีกรมสารนิเทศ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีคนไทยอยู่ในย่างกุ้ง 447 คน ในต่างจังหวัดและรัฐ ต่างๆ 272 คน รวมมีคนไทยอยู่ในเมียนมา 719 คน ซึ่งจากการประเมินสถานการณ์ในเมียนมา ยังไม่ถึงขั้นต้องเตือนให้อพยพกลับไทย แต่หากมีการยกระดับสถานการณ์ขึ้นอีกไทยก็เตรียมการไว้ทุกขั้นตอน
นอกจากนี้ ในส่วนผู้หนีภัยความไม่สงบนั้น ย้ำว่า ไทยมีประสบการณ์รับมือผู้อพยพมายาวนาน ให้ความช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรมและหลักสากลมาโดยตลอด
ทั้งนี้ นายธานี กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 30 มี.ค. ไทยได้ให้ความช่วยเหลือชาวเมียนมาเชื้อสายกระเหรี่ยง จำนวน 7 คน ขณะนี้ยังมีการรักษาตัวในโรงพยาบาล สำหรับผู้หนีภัยที่อยู่ในประเทศไทยนับถึงวันที่ 1 เม.ย. คงเหลืออยู่ 216 คนและผู้หนีภัยกลุ่มใหม่เข้ามาอีก 951 คน รวมทั้งสิ้น 1,167 คน และมีการทยอยเดินทางกลับอย่างต่อเนื่อง
นายกฯ สั่งการเตรียมระบบแอปพลิเคชั่นให้ ปชช.ลงทะเบียน เพื่อกระจายวัคซีนชัดเจน คาดภายในสิ้นปีนี้จะฉีดได้ครอบคุลมไม่น้อยกว่า 60%
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการกระจายวัคซีนป้องกันโควิด-19 ว่า ในช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมร่วม กับกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงการคลัง โดยพูดถึงเรื่องการเตรียมความพร้อมให้กับประชาชนในการลงทะเบียนการรับวัคซีนที่ทยอยจัดสรรเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ครอบคลุมทุกจังหวัด
โดยได้พิจารณาเตรียมระบบแอปพลิเคชั่นให้ประชาชนลงทะเบียน เพื่อการกระจายวัคซีนได้ชัดเจน และเก็บข้อมูลได้อย่างครบถ้วน ซึ่งเป็นการต่อยอดจากแอปพลิเคชั่น”เป๋าตัง” มาใช้แอปพลิเคชั่นกระเป๋าสุขภาพ หรือ “Health wallet” ซึ่งดำเนินการโดยกระทรวงการคลังและธนาคารกรุงไทย
พร้อมประสานหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขในแอพพลิเคชั่นหมอพร้อม เพื่อช่วยบริหารจัดการลงทะเบียนให้ประชาชนที่ต้องการรับวัคซีน ซึ่งเมื่อแอพฯ ออกมาจะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบต่อไป
ทั้งนี้ นายอนุชา กล่าวอีกว่า นายกฯ ให้ความสำคัญในการเร่งดำเนินการและเร่งบริหารจัดการให้คนไทยได้รับการฉีดวัคซีน เพื่อเปิดประเทศอย่างเต็มที่ และสอดคล้องกับการลดวันกักตัวชาวต่างชาติในพื้นที่ท่องเที่ยวหลัก โดยภายในสิ้นปีนี้ จะฉีดได้ครอบคลุมประชากรได้ไม่น้อยกว่า 60% เพื่อพร้อมเปิดประเทศอย่างเป็นทางการในต้นปี 2565
โฆษก รบ. ชี้แจงสถานการณ์เศรษฐกิจจากการรายงานความเสี่ยงทางการคลัง
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวชี้แจงสถานการณ์เศรษฐกิจจากการรายงานความเสี่ยงทางการคลัง ว่า สื่อมวลชนอาจเข้าใจคลาดเคลื่อนในหัวข้อที่กระทรวงการคลังมารายงานเรื่อง”ความเสี่ยงทางการคลังประจำปี 2563″
ซึ่งเป็นการายงานประจำปีปกติอยู่แล้ว ซึ่งเป็นข้อกฎหมาย ตามมาตรา 78 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ที่กำหนดไว้ ว่า เดือน มี.ค.ของทุกปีกระทรวงการคลังต้องแสดงผลการประเมินความเสี่ยงและผลการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐ เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยง ซึ่งเป็นการรายงานปกติประจำปี ไม่ใช่เพราะประเทศไทยเกิดความเสี่ยงทางการคลังแล้วมารายงาน
นายอนุชา กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ไม่ใช่เฉพาะรัฐบาล แต่ส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนของเอกชน และบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ก็มีคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง ที่จะรายงานให้รับทราบถึงสถานการณ์ต่างๆ จึงขอให้เข้าใจตรงกัน ไม่ใช่เพราะประเทศไทยอยู่ในสถานะต้องดูแลความเสี่ยง
อย่างไรก็ตาม ข้อสรุปรายงานประเมินความเสี่ยงครั้งนี้กระทรวงการคลัง แจ้งว่า สถานการณ์ยังอยู่ในระดับปกติ และสอดคล้องความน่าเชื่อถือพันธบัตรของรัฐบาลก่อนที่เกิดแพร่ระบาดโควิด-19
ทั้งนี้ นายอนุชา กล่าวว่า นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง ได้พูดถึงยอดการจัดเก็บรายได้ในช่วง 5 เดือนแรกปีงบประมาณ 2564 ซึ่งถือว่าไม่น่าประหลาดใจที่การจัดเก็บรายได้ต่ำกว่า เป้า เพราะเศรษฐกิจที่หดตัวจากผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19
รวมทั้งจากการขยายเวลาชำระภาษี อีกด้วย ทำให้รายได้ภาษีบางส่วน เดือน ก.พ. มีการย้ายไปชำระในเดือน มี.ค.64 แทน และยืนยันในส่วนภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT รัฐบาลยังไม่มีแนวคิดปรับเพิ่มจากปัจจุบัน 7 % เพื่อไม่ให้เป็นภาระของประชาชน
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news