Home
|
บันเทิงไทย

“เชอรีน” ร่ำไห้! อดีตสามีทำร้ายร่างกายถึง 4 ครั้ง จนหวาดระแวง วอนหยุด สงสารลูก

Featured Image
“เชอรีน” ร่ำไห้! อดีตสามีทำร้ายร่างกายถึง 4 ครั้ง จนหวาดระแวง วอนหยุด สงสารลูก

 

ดาราสาว “เชอรีน ณัฐจารี” พร้อม “ทนายแก้ว มนต์ชัย” เดินทางมายัง สน.ทองหล่อ เพื่อเข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวัน หลังถูกอดีตสามีทำร้ายร่างกายรุนแรงถึง 4 ครั้ง และหลังจากที่เลิกรากันไปแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว ก็ยังมรการข่มขู่คุกคาม จนทำให้รู้สึกเกิดความหวาดกลัว และรู้สึกไม่ปลอดภัย

โดย “เชอรีน” เปิดใจเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งน้ำตาว่า “วันนี้มาแจ้งความเนื่องจากถูกทำร้ายร่างกาย ถูกข่มขู่คุกคาม ตั้งแต่แต่งงานกันทีลูกด้วยกันถูกทำร้ายร่างกาย 4 ครั้งค่ะ  ครั้งแรกมีการทะเลาะกัน มีอาการมึนมา ถูกตบเข้าที่หน้า อย่างที่เห็ฯในภาพ ตบหลายครั้งจนปากแตก จริงๆครั้งแรกก็ค่อนข้างรุนแรงเหมือนกัน แต่ครั้งสุดท้ายเขาตบเกิน 10 ครั้ง เรานอนอยู่บนเตียง เขานั่งอยู่ข้างๆ และเขาเหมือนโน้มตัวลงมาหาเหมือนพยายามให้เราตอบคำถามเขา และเขาตบมาทีหน้าและบอกให้เราตอบสิ ตอบสิ เราก็ไม่ตอบ เพราะเรารู้ว่าเราเคยตอบโต้ที่สู้มาที่ผ่านมา 3 ครั้ง รู้ว่ามันรุนแรงขึ้น หนักขึ้น เลยอยู่เฉยๆ เขาก็ทำเรื่อยๆ ในตอนแรกที่ไม่แจ้งความเพราะเราอยากประคับประครองครอบครัว ไม่อยากเป็นข่าว ไม่อยากให้มีเรื่องราว เพราะมันกระทบถึงลูกด้วย แต่ตอนนี้รู้สึกว่าไม่ปลอดภัยแล้ว”

 

“ถูกทำร้ายการที่เกิดขึ้แป็นการเมาทุกครั้ง ก่อนที่จะลูกไม่เคยทำร้ายร่างกาย ครั้งแรกเขามึนเมา ขาดสติ เขาก็ขอโทษบอกจะไม่ทำอีก ครั้งแรกเกิดขึ้น เดือนพฤษภาคม 2565 ครั้งที่2 กรกฎาคม 2565 ครั้งที่ 3 เมษายน 2566 และครั้งที่ 4 กันยายน 2566  เรามีหลักฐาน มีภาพนิ่ง แชทข้อความ คลิปเสียงต่างๆ”

 

“สาเหตุหลักคือความหึงหวง เขาเป็นคนมีอารมณ์รุนแรง ในเวลาอื่นๆเขาก็เป็นคนที่หึงหวงรุนแรง ใช้คำพูดรุนแรงอยู่แล้ว พอมึนเมา ก็ลงมือหนักขึ้น ส่วนใหญ่เหมือนเข้าใจผิดกัน บางครั้งมีรุ่นน้องทักมาหา เพื่อนทักมาหา ไม่พอใจที่คุยกัน เราอธิบาย ไม่ได้ลบแชท เราบริสุทธิ์ใจ ให้เห็นแชท แต่เหมือนเขาก็ไม่โอเค หลังจากทำร้าย เขาได้มีการคุยกับแม่ ขอโทษกราบขอขมาแม่ ขอขมาหนู และคุยกันว่าจะไม่ทำอีกไม่มีอีก ทุกครั้งมีการพูดสัญญาเกิดขึ้นมีการคุยทุกครั้ง แต่ว่าก็ยังทำอยู่ ตอนแรกก็คิดว่าจะหยุดไหม หรือจะทนไหม เพราะว่ามีลูกก็ไม่อยากทำให้ครอบครัวแตก การทำร้ายร่างกาย ลูกก็อยู่ในบ้านด้วยแต่อยู่คนละห้อง ช่วงที่มีแผลน้องเด็กมากค่ะ ยังไม่รู้เรื่อง”

 

“ที่ตัดสินใจแยกทางกันเพราะรู้สึกว่าถึงขั้นเป็นห่วงชีวิตตัวเองแล้ว ในที่เกิดเหตุวันนั้นที่โดนตบหน้าหลายๆครั้ง เรารู้สึกได้ว่าถูกคุกคามถึงขั้นที่ไม่รู้ว่าจะถึงชีวิตไหม วันนั้นก็เลยวิ่งตัวเปล่าออกจากบ้านมา ไม่มีของพกติดตัวมา มีแค่โทรศัพท์ แล้วก็วิ่งเท้าเปล่าออกมาจากหลังบ้าน เพราะกลัวว่าถ้าออกมาจากทางหน้าบ้านแล้วเขาจะได้ยินเสียง แล้วก็โทรหาเพื่อนที่อยู่ใกล้เคียง เพื่อที่จะหนีออกมา คือรู้สึกว่าถูกคุกคามมากเกินไปแล้ว ลูกตอนนั้นอยู่กับพี่เลี้ยงอีกห้องหนึ่ง แล้วเราดูว่าเขาไม่ทำอะไรถึงลูก ก็เลยคิดว่าน่าจะ ตอนนี้ลูกอยู่กับเราค่ะ”

 

“ส่วนใหญ่ที่เขาติดต่อมาก็จะเป็นอารมณ์แบบว่าอยากจะเอาลูกไปเลี้ยง  จริงๆที่ตกลงกันถ้าลูกอยู่กับเราเขาจะไม่ส่งเสียอะไรให้เลย ถ้าลูกอยู่กับเขา เราก็จะไม่ต้องเสียอะไรเลย ให้เราเลือกให้ลูกอยู่กับใคร ก็เลยบอกเขาว่าเราเลี้ยงลูกเองได้ให้ลูกอยู่กับเราดีกว่า”

 

“ที่เขาเข้ามาก่อกวนเราเป็นเรื่องการติดตามค่ะ  วันก่อนเขาโทรมาพูดประมาณว่าเขาอยากรู้อะไรเกี่ยวกับรา เขาก็รู้ได้หมด เขาสามารถรู้ว่าเข้าออกบ้านกี่โมง ใครมารับ มาส่ง ไปไหนกับใครเขารู้หมด และเขาก็โทรไปบอกแม่ว่าวันนี้เราออกจากบ้านกี่โมง กลับบ้านกี่โมง เขาอ้างว่าเขาเป็นห่วงลูก เขาก็เลยเอาคนมาตามมาดูว่าเราจะอยู่กับลูกไหม”

“ตั้งแต่ที่เป็นสามีภรรยาแต่งงานกันมาก็ค่อนข้างมีปัญหาในเรื่องของการมีอารมณ์รุนแรง  และทะเลาะกันค่อนข้างบ่อย เหมือนทำอะไรก็ค่อนข้างตามใจเขานิดหนึ่ง ก่อนที่จะมีลูกเขาดูแลดีมาก ให้แต่งตัวได้ ให้ออกไปเจอเพื่อนได้ แต่ว่าหลังจากที่แต่งงานกันแล้วแต่งตัวไม่ได้ ออกไปเจอเพื่อนไม่ได้  ไปทำงานไม่ได้ ก็คือต้องอยู่กับเขา ตอนนั้นก็ทำใจ อยู่กับลูกให้มีความสุขที่สุด พยายามโฟกัสที่ลูก มองว่าเราไม่ไปไหนก็ได้ ไม่ทำอะไรก็ได้ เราอยู่บ้านเลี้ยงลูกแล้วกัน จะได้มีเวลาอยู่กับลูกมากขึ้น พยายามมองในมุมที่ดี”

 

“จากเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ทำให้รู้สึกหวาดระแวง  รู้สึกว่าชีวิตไม่ปลอดภัย กลัวไปหมด หลังจากที่เลิกกันช่วงแรกก็ยังมีมาเจอกันบ้าง เพราะว่าเราอยากอยากให้ลูกได้เจอพ่อ ได้ใช้เวลาอยู่กับพ่อ แต่ว่าทุกครั้งที่เราเจอ เราจะกลัวเขามากๆ กลัวว่าวันนี้เขาจะไม่พอใจอะไรอีกไหม กลัวว่าวันนี้เขาจะถึงขั้นไหนอีก เป็นความกลัวและเป็นความหวาดระแวง และทุกวันนี้ถูกติดตาม ถูกพูดจาแบบนี้ใส่ ก็รู้สึกว่าชีวิตตัวเองไม่ปลอดภัยเลย”

 

“ถ้าเขาอยากไกล่เกลี่ยพูดคุยก็ให้คุยกับทางทนายค่ะ  เราขอไม่คุยด้วย จริงๆถามว่าอยากได้อะไรจากเขา อยากให้เขาเลิกยุ่งค่ะ แค่นั้นเลย ไม่ได้อยากได้อะไรจากเขาเลย เคยขอร้องเขาไปก่อนแล้วว่าถ้าเขาไม่หยุด เราก็คงต้องทำเพื่อตัวเองบ้างเหมือนกัน ก็ขอให้เขาหยุด ที่บ้านซัพพอร์ตทุกอย่างที่เราเลือก แต่คนที่ต้องผ่านเรื่องราวพวกนี้ไปก็คือตัวเราเองแหละ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็คอยอยู่ซัพพอร์ต เอาทางที่เรารู้สึกว่าเราสบายใจและเราเลือกได้ดีที่สุด พี่ชายก็เป็นห่วงเรามากค่ะ เมื่อวานที่โทรคุยเขาก็ จริงๆไม่ได้อยากให้เป็นข่าว แค่อยากมาแจ้งความเฉยๆเหมือนว่าถ้าลงบันทึกประจำวันไว้ ถ้าเกิดในอนาคตเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยมันเคยมีแจ้งความไว้ แต่พอเราเล่าให้ทางทนายฟังที่เขาตามมาคุกคาม หรือตามมาเฝ้า ก็เลยคิดว่าถ้าสมมติว่าเป็นข่าวไม่ออกมาสู่แสง ถ้าวันนึงเราหายไป คือจะไม่มีใครรู้ และจะอันตรายต่อตัวเราและลูกด้วย”

 

“ทุกวันนี้ก็พยายามใช้ชีวิตต่อ  ด้วยความที่เราต้องดูแลลูกเองทั้งหมด ก็ต้องทำงานหาเงิน ต่อให้เราเครียดหรือกลัวที่จะออกไปข้างนอก แต่ก็ยังต้องไป เพราะเราได้หยุดใช้ชีวิตไปเพื่อครอบครัวมานานแล้ว ทุกอย่างเหมือนเริ่มใหม่ทั้งหมด ก็เลยค่อนข้างที่จะกลัวแต่มันก็ต้องทำ ก็ต้องพยายามเป็นแม่ที่ดีมีสุขภาพจิตที่ดี เพราะเราต้องเลี้ยงลูกเหมือนกัน.

 

“ถามว่าอยากจะบอกอะไรกับอดีตสามีไหม  ก็หยุดได้แล้วค่ะ พอเถอะให้มันจบแค่นี้สงสารลูก”

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube