วันนี้ที่สํานักงานเพจสายไหมต้องรอด กลุ่มหนุ่มผู้เสียหายจํานวน 4 คน เดินทางเข้าร้องขอความช่วยเหลือกับนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด กรณีถูก น.ส.ฟ้า หลอกโอนเงินอ้างเป็นผู้จัดหานักแสดงถ่ายละคนและซีรี่ส์
ตัวแทนผู้เสียหาย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนได้นำรูปและข้อมูลของตนเอง ไปโพสต์ไว้ในกลุ่มหางานนักแสดงบนเฟซบุ๊ก โดยมีผู้มาโพสต์ไว้ว่า หานักแสดงกองถ่ายของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ตนจึงไปคอมเมนต์รูปตัวเอง พร้อมไอดีไลน์ไว้ หลังจากนั้น น.ส.ฟ้า ได้ติดต่อผ่านไลน์ส่วนตัว อ้างว่ามาจากกองถ่ายของแกรมมี่ เรื่องคลับฟรายเดย์ และขอโทรศัพท์คุยรายละเอียดงานแสดง
ซึ่งได้มีการวิดีโอคอลคุยกัน และบอกจะให้แสดงเป็นตัวประกอบประกบคู่กับนักแสดงชื่อดัง โดยจะได้ค่าตัวเป็นตอนๆ แต่ต้องมีการโอนเงินค่าประกันและค่ามัดจําต่างๆเพื่อยืนยันว่าจะไม่เบี้ยวงาน ซึ่งจะได้เงินทั้งหมดคืน แต่สุดท้ายเมื่อโอนไปกลับไม่ได้เงินคืนตามที่ตกลง โดยแต่ละคนโอนเงินในจํานวนที่ไม่เท่ากัน ซึ่ง 1 ใน 4 ตัวแทนที่เดินทางมาวันนี้โอนสูงสุดกว่า 40,000 บาท
ส่วนเหตุผลที่หลงเชื่อทางด้านผู้เสียหายระบุว่า เนื่องจาก น.ส.ฟ้า สร้างความเชื่อใจด้วยการคุยผ่านวิดีโอคอล และมีการบอกว่ารู้จักดารานักแสดงชื่อดังหลายคนพร้อมโชว์รูปถ่ายที่เคยร่วมงาน อีกทั้งเขาพูดจาโน้มน้าวเก่ง จนทุกคนหลงเชื่อว่าเป็นทีมงานจัดหานักแสดงจริงๆ เบื้องต้นได้มีการแจ้งความดําเนินคดีเอาไว้แล้ว และสร้างกลุ่มรวบรวมผู้เสียหาย ตอนนี้มีผู้เสียหายประมาณ 7-8 คน แต่คาดว่าจะมีมากกว่านี้ มูลค่าความเสียตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 200,000 – 300,000 บาท
านนายเอกภพ กล่าว หากท่านใดรู้ตัวว่าถูก น.ส.ฟ้า หลอกในลักษณะเดียวกัน ให้ไปแจ้งความไว้ที่ สน.ท้องที่ และส่งมาที่เพจสายไหมต้องรอด เพื่อจะรวบรวมข้อมูลโดยตนเองจะติดตามคดีทุกโรงพัก ขณะที่กลุ่มผู้เสียหาย กล่าวฝากไปถึง น.ส.ฟ้า ด้วยว่าไม่ควรเอาความฝันของคนอื่นมาล้อเล่น หากบอกว่าเป็นลูกหลานนักการเมือง ยิ่งต้องโดนให้หนัก และหากจะบอกว่าตัวเองมีทนายที่ดี ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้
สําหรับ น.ส.ฟ้า ก่อนหน้านี้ เมื่อปลายปี 2566 เคยเป็นตกเป็นข่าวดัง กรณีอ้างว่าเป็นเลขาของ “หนุ่ม กรรชัย” หลอกเงินผู้เสียหาย จน “หนุ่ม กรรชัย” ประสานตำรวจสอบสวนกลางเข้าจับกุม ในฐานความผิด “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน โดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ร่วมกันโดยทุจริตฯ และ นำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์” นอกจากนี้แนวทางการสืบสวนยังพบด้วยว่า ผู้ก่อเหตุมีการเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล มาแล้วมากถึง 14 ครั้ง ถือได้ว่าเป็นการกระทําความผิดซํ้าและไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายและเป็นภัยต่อสังคมอย่างยิ่ง
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews