“บิ๊กบี้”สั่งห้ามอาวุธ-ยุทโธปกรณ์เข้าออกชายแดน
“บิ๊กบี้” สั่งห้ามอาวุธ-ยุทโธปกรณ์ เข้าออก ชายแดน เชื่อไทยไม่โดนลูกหลง หลังเมียนมาสงบศึกชั่วคราว หยุดยิง 1 เดือน มั่นใจ กกล.ชายแดนตะวันตกเอาอยู่
พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก แถลงภายหลังการประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก (นขต.ทบ.) ถึงการดูแล ชายแดน ไทย-เมียนมาว่า ช่วงวันที่ 26 – 27 มี.ค. 64 เกิดการสู้รบในประเทศเมียนมา ใกล้ชายแดนไทยตรงข้าม อ.แม่สะเรียง และอ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งมีสภาพภูมิประเทศเป็นป่าภูเขา มีแม่น้ำสาละวินเป็นเส้นเขตแดนเป็นระยะทางประมาณ 118 กิโลเมตร สามารถใช้เรือโดยสารสัญจรข้ามไปมาได้
จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ประชาชนชาวเมียนมา ซึ่งเป็นผู้หนีภัยความไม่สงบ ชาวเมียนมาตามแนวชายแดนเดินทางข้ามแม่น้ำสาละวิน มายังฝั่งประเทศไทย รวมกันเป็นกลุ่มบริเวณพื้นที่ริมแม่น้ำสาละวินฝั่งไทย ใน ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง จำนวน 2,788 คน ทางกองกำลังป้องกันชายแดน กองกำลังนเรศวร โดยหน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 36 ได้ดำเนินการอำนวยความสะดวก เพื่อมนุษยธรรม ในพื้นที่พักรอ
ภายใต้มาตรการการป้องกัน การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่อาจจะมีผลกระทบต่อประเทศไทยด้วยมาตรการสูงสุด และการชี้แจงให้เข้าใจสถานการณ์ ต่อมาตั้งแต่วันที่ 27 มี.ค. ที่ผ่านมา มีประชาชนชาวเมียนมาได้เริ่มเดินทางกลับ หลังรับทราบสถานการณ์ จากการทำความเข้าใจกันและเดินทางกลับโดยสมัครใจ
ส่วนกรณีการค้าขายอาวุธยุทโธปกรณ์ตามแนวชายแดน ถือเป็นหลักการที่เราไม่ให้เกิดขึ้น ซึ่งเราไม่ยอมอยู่แล้วในทุกเรื่อง ผู้บัญชาการทหารบก ได้กำชับไม่ให้มียุทโธปกรณ์ผ่านเข้าออกตามแนวชายแดนอย่างเด็ดขาด แต่ที่ผ่านมามีการตรวจสอบการส่งกระสุนวัตถุระเบิดทางบริษัทของเอกชน
ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมได้และดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการทหารบก มีความเป็นห่วงชายแดนไทยเมียนมา โดยจะเห็นว่าเมื่อสองเดือนที่ผ่านมา ให้ความสำคัญกับพื้นที่ภาคตะวันตกที่ติดกับฝั่งเมียนมา ห่วงใยความปลอดภัยของคนไทยเป็นที่สุด อีกทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19
เมื่อถามว่า การใช้อากาศยานโจากชายแดนฝั่งประเทศไทยเท่าไหร่ พล.ท.สันติพงศ์ กล่าวว่า ตนไม่ขอตอบ แต่ทุกประเทศต้องระมัดระวังในการปฏิบัติการตามแนวชายแดน เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนต่อเส้นเขตแดน
ทั้งในส่วนด้านตะวันตกที่เป็นแม่น้ำสาละวินและแม่น้ำเมย ซึ่งตามสนธิสัญญาถือเป็นแม่น้ำกลาง สองประเทศสามารถใช้ร่วมกันได้ แต่ถ้าข้ามไปฝั่งใดก็ถือเป็นสิทธิและอธิปไตยของประเทศนั้นที่ไม่ก้าวล่วงกัน ทหารฝั่งไทยหรือฝั่งของเมียนมาจะไม่ข้ามไปอีกฝั่งของลำน้ำ เราเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน
ทบ.เข้มกฎเหล็กห้ามกำลังพลยุ่งการเมือง ยกคำสั่ง 388 / 2563 ขู่ หากฝืนตั้งกก.สอบฟันวินัย-อาญา จับตา “ม็อบจตุพร”
พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีการชุมนุม ของนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ประกาศชุมนุมต่อเนื่องว่า กองทัพบก มีระเบียบวินัยสำหรับกำลังพล โดยกองทัพบกได้ออกคำสั่งที่ 388 / 2563 ที่กำหนดไว้ว่ากำลังพลสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้บ้าง รวมถึงการโพสต์ข้อความตามโซเชียลต่างๆ
เรามีข้อห้ามชัดเจนและหากกำลังพลกระทำผิด กองทัพบกก็ต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน หากพบว่ามีความผิดก็ต้องได้รับโทษ หากเป็นความผิดทางวินัยก็ดำเนินการตามขั้นตอน แต่ถ้าไปเกี่ยวข้องกับคดีอาญาก็ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ขณะนี้ทหารทำได้เพียงการติดตามข้อมูลข่าวสารการชุมนุมเท่านั้น ยืนยันว่าการชุมนุมเป็นสิทธิของประชาชนที่สามารถทำได้ หากไม่ขัดต่อกฎหมาย
ทั้งนี้ รายงานว่า ที่ผ่านมากรมกำลังพลทหารบกได้ออกคำสั่งได้ออกข้อควรปฏิบัติ และข้อไม่ควรปฏิบัติของกำลังพลสังกัดกองทัพบก โดยอ้างอิงจาก1.ข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยข้าราชการกลาโหมกับการเมืองพ.ศ 2499 2. คําสั่งกองทัพบกที่ 388 / 2563 ลง 9 ก.ย.2563 เรื่องแนวทางการดำเนินการต่อกำลังพลที่กระทำผิดและหาก ผู้ใดฝ่าฝืนข้อบังคับกระทรวงกลาโหม และคำสั่งกองทัพบกถือว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาทหารมาตรา 33 ,11 และ 32 ตามแต่กรณี
ทั้งนี้ กองทัพบก ได้ทำโปสเตอร์ติดภายในพื้นที่กองบัญชาการกองทัพบก โดยระบุ สิ่งที่กำลังพลสามารถทำได้ดังนี้
1.การสมัครเข้าเป็นสมาชิกในพรรคการเมืองใดต้องรายงานให้ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นจนถึงผู้บัญชาการทหารบกทราบ
2. การเข้าร่วมประชุมทางการเมืองในฐานะส่วนตัวได้แต่ต้องไม่สวมเครื่องแบบและไม่ใช้ในเวลาราชการ
3. ปฏิบัติราชการในหน้าที่ด้วยการวางตนเป็นกลางโดยไม่มุ่งหวังประโยชน์ของพรรคการเมืองใดโดยเฉพาะแต่ทั้งนี้ต้องปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล 4. ลงคะแนนเสียง/ แสดงความคิดเห็นส่วนตัวต่อผู้ลงสมัครได้
5. การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองสามารถกระทำได้โดยไม่แต่งเครื่องแบบและไม่ใช้เวลาราชการทั้งนี้ในการเข้าร่วมประชุมในที่สาธารณะนั้นต้องเป็นไปอย่างสงบ
ส่วนสิ่งที่กำลังพลไม่สามารถกระทำได้ มีดังนี้
1. ไม่กระทำการใดๆอันมีลักษณะพาดพิง ส่อเสียด ล้อเลียน สถาบัน รัฐบาล และผู้บังคับบัญชา
2. ไม่แต่งเครื่องแบบหรือชุดอื่นใดรวมถึงใช้ตราสัญลักษณ์ที่สื่อถึงความเป็นทหารเข้าร่วมประชุมกับพรรคการเมืองหรือไปร่วมชุมนุมในที่สาธารณะอันเป็นการประชุมที่มีลักษณะทางการเมือง
3. ไม่ประดับเครื่องหมายหรือแต่งเครื่องแบบของพรรคการเมืองเข้าไปในสถานที่ราชการ
4. ไม่บังคับผู้อยู่ในบังคับบัญชา ทั้งโดย ตรงหรือโดยปริยายให้เป็นสมาชิกในพรรคการเมืองใดและไม่กระทำการในทางให้คุณหรือให้โทษ
5. ไม่แทรกแซงในทางการเมืองหรือใช้การเมืองเป็นเครื่องมือเพื่อการทำกิจการต่างๆ
6. ไม่แสดงออกโดยตรงหรือโดยปริยายที่จะเป็นการช่วยเหลือสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งในระยะเวลา ที่มีการสมัครรับเลือกตั้ง
7. ไม่โพสต์ข้อความทางการเมืองในเวลาราชการในสถานที่ราชการหรือใช้คอมพิวเตอร์ของราชการรวมถึงห้ามใช้ account ของราชการร่วมกิจกรรมทางการเมืองบนสื่อสังคมออนไลน์
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news