กลุ่มผู้เสียหาย เข้า ให้ข้อมูลตำรวจ หลังถูกขายฝันชักชวนให้ร่วมลงทุนธุรกิจขายตรง แต่ไม่ได้เงิน แบบที่บริษัทพูด ขณะตำรวจ ปคบ.ตั้งศูนย์รับแจ้งความจากทั่วประเทศ
วันนี้ ทีมงานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรม ได้พาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเข้าไปร่วมธุรกิจกับบริษัทขายตรงชื่อดัง ซึ่งผู้เสียหายที่มาในวันนี้มีอยู่ประมาณ 20 คน แต่คนที่อยู่ในกลุ่มตอนนี้ประมาณ 500 คน แต่มีบางคนไม่สะดวกที่จะเดินทางมา เพราะอยู่ต่างจังหวัด และบางคนติดธุระส่วนตัว
สาเหตุที่มาในวันนี้เพราะเห็น พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ว่าที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ตั้งคณะทำงานเข้ามาจัดการเรื่องนี้โดยเฉพาะ จึงพาผู้เสียหายให้ข้อมูลกับตำรวจในประเด็นที่เกิดขึ้นว่าเพราะเหตุใดธุรกิจของบริษัทนี้ทำให้เกิดผลกระทบกับประชาชนจำนวนมาก
ทางตัวแทนของผู้เสียหายได้ออกมาเปิดเผยถึงบริษัทกล่าวว่า ผู้เสียหายทุกคนจะเห็นธุรกิจของบริษัทนี้ในลักษณะเดียวกัน คือเริ่มจากการเห็นโฆษณาผ่านทางทีวี และโซเชียล โดยธุรกิจนี้จะมีการยิงแอดโฆษณาผ่านทางเฟซบุ๊ค ประกอบกับช่วงเวลานั้นเป็นช่วงหลังโควิด ตัวเองต้องการหาอาชีพเสริมเพื่อหารายได้มาเลี้ยงครอบครัว เลยสนใจที่จะลงเรียน ซึ่งจะเป็นการเรียนแบบออนไลน์โดยมีค่าใช้จ่ายจำนวน 98 บาทหรือ 99 บาท จากนั้นจะถูกชักชวนลงทุน เริ่ม 2500 ขยับเป็น 25,000 และ 250,000 บาท
นอกจากนี้ยังมีผู้เสียหายอีกหนึ่งคนที่นำเงินเก็บจำนวน 206,000 บาทไปลงทุนจนเกือบคิดสั้นฆ่าตัวตาย เนื่องจากว่าตนเองตกงานอยู่แล้วจึงอยากสร้างธุรกิจด้วยการนำเงินไปลงทุน เพราะคิดว่าทำไปอาจจะได้เงินมาใช้จ่ายในครอบครัว เพราะตอนแรกเข้าใจว่าใช้เงินลงทุนแค่ 2,500 บาท พอจ่ายไปแล้วก็จะต้องไปเรียนเหมือนกับผู้เสียหายรายอื่น โดยมีการขายฝันว่าถ้าหากลงทุนแล้วจะได้นู้นได้นี่มา และมีการพูดสโลแกนว่า “ขยันผิดที่อีก 10 ปีก็ไม่รวย”
ทางด้าน นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ ทนายเดชา, พาผู้เสียหายกว่า 10 ราย เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนบก.ปคบ. เพื่อแจ้งความพร้อมระบุว่า ได้มีการรวบรวมผู้เสียหายทั้งจากของคุณต้นอ้อและคุณอี้รวมของตนด้วย ได้กว่า 500 รายแล้ว แต่ในวันนี้มีตัวแทนผู้เสียหายมาประมาณ 10 กว่าราย เดินทางมาพร้อมหนังสือร้องทุกข์เข้ามาแจ้งความและให้ข้อมูลแก่ตำรวจ โดยจะให้ความสำคัญกับกรณีแชร์ลูกโซ่มากที่สุด ซึ่งจะนำไปสู่คดีการฟอกเงิน และหากพยานหลักฐานเพียงพอก็จะขอให้ดำเนินการยึดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งนี้ฝากไปถึงแม่ข่าย ขอให้เข้ามาเป็นพยานและแจ้งความหากไม่มาก็จะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและถือเป็นผู้ต้องหา ทั้งนี้อยากฝากถึงผู้เสียหายรายอื่น ที่ไม่สามารถเดินทางมาที่บก.ปคบ.ได้ ก็สามารถเข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจในพื้นที่บ้านตนเองได้เลย
ขณะที่บริเวณชั้น 2 ของกองบังคับการปราบปราม ได้เปิดศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากทั่วประเทศ
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews