Home
|
บันเทิงไทย

“ลูกแก้ว ศรีกานต์” เล่านาทีบีบหัวใจเจอภาวะรกเกาะต่ำระหว่างตั้งครรภ์จนเกือบสูญเสียลูกสาว

Featured Image
“ลูกแก้ว ศรีกานต์” (อดีตเกิร์ลกรุ๊ป) เล่านาทีบีบหัวใจเจอภาวะรกเกาะต่ำระหว่างตั้งครรภ์จนเกือบสูญเสียลูกสาว!! “น้องศิอารา (Siara)”

แต่งงานกับนักธุกิจชาวพม่าจนมีลูกชายตัวน้อยน่ารักอย่างน้องซีโอ และใช้ชีวิตไปๆมาๆระหว่างพม่าและประเทศไทยสำหรับ “ลูกแก้ว ศรีกานต์” (อดีตเกิร์ลกรุ๊ป) ล่าสุดขณะตั้งครรภ์ลูกสาวคนที่สองซึ่งมีอายุครรภ์ 6 เดือน ลูกแก้วเจอช่วงเวลาบีบหัวใจครั้งแรกของชีวิตจนเกือบสูญเสียลูกสาวตัวน้อย ซึ่งลูกแก้ว ได้เล่าถึงเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า

“ลูกแก้วเริ่มมีอาการเลือดออกกะปิดกะปรอยตอนช่วง 20 สัปดาห์ค่ะ โดยไม่ได้หักโหมหรือทำอะไรเป็นพิเศษ… ท้องนี้จริงๆ ใช้ชีวิตแบบ slow ขึ้นมากๆ ถ้าเทียบกับตอนท้องแรก… พอไปตรวจคุณหมอก็บอกว่า มีภาวะรกเกาะต่ำบางส่วน ซึ่งหมอตรวจแล้วบอกว่า เป็นเลือดของรกแม่ ไม่ใช่จากลูก ไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องเครียด ลูกปลอดภัยปกติดีค่ะ ….ซึ่งปกติ 80% ของคนที่เป็นรกเกาะต่ำ มันจะลอยกลับขึ้นไปเอง หายเอง …หรือถ้าไม่หายเองก็อาจจะเสี่ยงคลอดก่อนกำหนด แล้วทั้งเดือน ช่วงหลังๆ ก็เริ่มมีอาการปวดท้องเพิ่มขึ้น ท้องบีบจนนอนไม่หลับ ปวดเพิ่มขึ้นจนทนไม่ไหว เลยตัดสินใจไปโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำใกล้บ้านค่ะ……ตอนไปถึงโรงพยาบาล หมอบอกเราว่า ปากมดลูกเปิดแล้ว 3 เซนติเมตร ตอนนั้นก็ค่อนข้างแพนิค อยู่เหมือนกันค่ะ เพราะตามเดิมวางแผนไว้ว่า จะคลอดที่ไทยโดยรอให้อาการดีขึ้นแล้วไม่คิดเลยจริงๆ ว่าอาจจะต้องคลอดน้องก่อนกำหนด …แต่โรงพยาบาลเอกชนที่เราไป เค้าดันบอกว่า ถ้าคลอดตอนนี้ ทางเค้ากลัวว่าจะมีอุปกรณ์และบุคคลที่เชี่ยวชาญในการดูแลเด็กก่อนกำหนดไม่เพียงพอ เค้าจึงส่งต่อเราโรงพยาบาล รัฐ ซึ่งจะมีความเชี่ยวชาญกว่า… พอไปถึงคุณหมอก็ฉีดยาระงับการบีบตัวของมดลูก อาการปวดต่างๆ ก็หายไปเลยค่ะ ก็คิดว่า ยื้อไปได้สำเร็จแล้ว หมอก็ยังไม่ให้กลับบ้านให้เฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดก่อน แต่ผ่านไป 24ชม. จู่ๆ ก็เจ็บท้อง มดลูกบีบแบบยั้งไม่อยู่ประมาณ 10-15นาที น้องก็คลอดออกมาเลยแบบธรรมชาติค่ะ ประมาณตีสาม……พอคลอดออกมาแล้ว ตอนนั้นเค้าได้แจ้งเราว่าโอกาสรอดของน้อง อาจจะแค่ 30/70 หรือ 50/50 นะ ให้เราทำใจไว้ก่อน…หลังจากคลอดน้องได้ 3 วัน

เราเลยตัดสินใจย้ายน้องมารักษาต่อที่ประเทศไทยค่ะ…ลูกแก้วและคุณสามีต้องวิ่งวุ่นเรื่องเอกสารการเกิดของน้องและเอกสารเดินทางฉุกเฉินที่สถานทูต และกระทรวงการต่างประเทศที่ย่างกุ้ง มีเวลาเก็บของอย่างรวดเร็ว …..ก็ต้องไปสแตนบายรอรับทีมแพทย์จากไทยที่โรงพยาบาล พอมาถึงเค้าก็นำตู้อบที่เตรียมมาจากไทยและอุปกรณ์ทางการแพทย์มากมายมารับน้องขึ้นรถไปสนามบินค่ะ คืนนั้นถึงไทยประมาณสองทุ่มกว่าค่ะ ลงเครื่องปุ๊บก็มีรถพยาบาลฉุกเฉินเตรียมรอรับเพื่อพาไปยังรพ. บำรุงราษฎร ทุกอย่างต้องใข้ความระมัดระวังอย่างที่สุด เพราะน้องยังบอบบางมากๆ พอน้องได้เข้าห้องของเค้าที่ NICU อย่างรอดปลอดภัยแล้ว เราก็สบายใจทันทีเลยค่ะ….ก็ต้องมาลุ้นกันต่อไปในแต่ละสเต็ป …..ทั้งปอด หัวใจ สมอง ดวงตา… ซึ่งหมอบอกไว้แต่เนิ่นๆ เลยว่าพ่อแม่จะต้องทำใจนะ อาการของเด็กคลอดก่อนกำหนดอาจจะขึ้นลง วันนึงดีขึ้นมาก อีกวันอาจจะทรุดลงก็ได้… จิตใจพ่อแม่ก็อาจจะเหมือนกับฝากไว้บนรถไฟเหาะ ต้องเตรียมใจให้เข้มแข็งมากๆ ซึ่งตอนที่คลอดน้องมีอายุครรภ์ 27 สัปดาห์ น้ำหนักตัวน้องแค่ 8 กรัมเองค่ะ ช่วงแรกน้องต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ แต่หลังจากสองเดือนเค้าก็สามารถถอดออก ไม่ต้องใช้แล้ว โมเม้นต์แรกที่ได้กอดเค้าได้หอมลูกมันเป็นความรู้สึกที่ดีเกินบรรยายเลยค่ะ เค้าชอบยิ้มให้ ส่งอารมณ์ทำตาปิ๊งๆให้ตลอด เค้าเป็นเด็กที่มหัศจรรย์จริงๆ เลยค่ะ……..น้องเป็นเด็กตัวเล็กพริกขี้หนูที่จิตใจแข็งแกร่งมากๆ จริงๆ ณ ตอนนี้ก็อยู่ที่รพ. มาสองเดือนแล้ว เค้าไม่มีอาการอะไรให้เราเป็นห่วงเลย ผลทุกอย่าง ที่ออกมา กลับกลายเป็นว่า ราบรื่น มาเรื่อยๆ… ทำให้เราแทบจะไม่ต้องมีความกังวลใจมากมาย ไปเยี่ยมเค้าทุกวันด้วยความเบิกบาน แจ่มใส คุณหมอ พี่ๆ พยาบาลทุกคน ที่ดูแลน้องอยู่ก็ใจดีมากๆๆ น่ารักเฟรนด์ลี่มากๆ เลยค่ะ คือเหมือนลูกสาวเค้าอยากจะมาอยู่กับเราให้ไวขึ้น อันนี้ลูกแก้วรู้สึกว่าจะต้องขอบคุณลูกที่ใจสู้ที่สุด independent lady น้อยของมัมมี๊
ซึ่งสภาพจิตใจตอนนี้ แน่นอนอยู่แล้วค่ะ ว่าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันแบบนี้ขึ้นมา ทางครอบครัว ก็จะต้องผ่านอารมณ์ต่างๆ มามากมาย ทั้งช้อกทั้งลุ้น ทั้งเป็นห่วง….สำหรับลูกแก้ว สิ่งที่คิดในหัวเลยคือ ขอแค่น้องรอด ทุกอย่างเราก็โอเคหมด ทำให้เราไม่มีคำว่าเสียใจหรือตัดพ้อเข้ามาเลย คือมุ่งไปข้างหน้า และอยู่กับปัจจุบันที่สุด ว่าตอนนี้เราจะต้องทำอะไร และสิ่งที่เราทำได้มากที่สุดในตอนนั้น ก็คือ ทำใจให้สงบ พักผ่อน healing ร่างกายตัวเอง กินน้ำ ทานสิ่งดีๆ ทำใจให้โล่งที่สุดและปั๊มนมเก็บไว้ให้ลูกทาน มีความแข็งแรง แข็งแกร่ง มีความสุขเพื่อลูก แล้วเราก็ทำได้ เรามองว่าลูกเค้ายังใจสู้ขนาดนี้ เราจะต้องเศร้าหมองไปทำไม ก็ถือว่าค่อนข้างภูมิใจในตัวเองนะคะที่เราสามารถคุมสติได้ดีแม้ในช่วงที่ขับขันสุดๆ รวมถึงสามีด้วยค่ะ มันเป็นสถานการณ์ที่หนักหน่วงพอสมควร แต่เค้าก็ยังคงเป็นกำลังใจที่ดีเป็นที่พักพิงให้เราเสมอค่ะ

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

 

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube