โควิดติดพันอัพ-วัคซีนลุงช้าลาม(click ดูวิดีโอ)
@ทะลุหลักพันเป็นวันแรกสำหรับ“โควิดภาค3”ที่เอาเข้าจริงก็ยังไม่สะเด็ดน้ำต้องรอการกลับมาทำงานหลังหยุดยาวสงกรานต์ 16 เม.ย. ที่ “หมอ”เตือนแล้วว่าจะเป็นสัปดาห์แห่งความพีค ที่ต้องขอร้องให้ประชาชนออกมาเคลื่อนไหวน้อยที่สุด อย่างที่“ลุงทำเนียบฯ”นอกจากประกาศให้ราชการเวิร์คฟอร์มโฮมแล้วยังขอร้องภาคเอกชนให้พนักงานทำงานที่บ้าน ให้ผู้คนอยู่บ้านหยุดเชื่อเพื่อชาติ กันอีกครั้ง แม้“ลุงทำเนียบฯ”จะคุยแบบดราม่าเล็กๆ ว่า “โควิดกำลังค่อยๆคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะความร่วมมือของทุกคนที่ทำตามคำแนะนำด้านสาธารณสุข ส่วนหนึ่งเกิดจากความรักความเอาใจใส่ของคนในครอบครัวที่คอยประคับประคองช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และจากความร่วมมือของครอบครัวคนไทยทุกคน ประเทศจึงได้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ต่างๆ มาได้ รัฐบาลจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกครอบครัวจะช่วยกันป้องกัน ดูแล และรักษาสุขภาพร่างกาย จิตใจให้แข็งแรง และปฏิบัติตามคำแนะนำด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
@หากแต่เมื่อดูข้อเท็จจริงตรงหน้าที่สถานการณ์ใน“ความก้ำกึ่ง” ระหว่าง“ตระหนัก”กับ“ชิลๆ”ที่“ลุงทำเนียบฯ”ซึ่งผวาเอฟเฟ็กต์วิกฤตเศรษฐกิจเป็นทุนเดิม ประกาศยืนยันทุกฝ่ายรวมถึงผ่าน ศบค.เล็กใหญ่ ว่าไม่ว่าจะยังไงก็จะ“ไม่ล็อกดาวน์”แน่หลังปล่อยหยุดยาวสงกรานต์กลับมา นอกจากยังพบ“ข้ออ่อน”จาก“ไส้ใน” การบริหารจัดการสถานการณ์เฉพาะหน้าทั้งในมิติของการควบคุมการระบาดรอบใหม่แล้ว ยังมีเรื่องของการจัดการเรื่องวัคซีนทั้งการนำเข้ามาและการฉีดให้ประชาชนที่มีความช้า จนเป็นเหตุส่วนหนึ่ง ที่นำมาสู่การระบาดรอบ 3 ที่ไม่ใช่แต่เพียง “2คลัสเตอร์” สถานบริการทองหล่อ“คริสตัล-เอมเมอรัล”ที่ติดกลุ่ม“ไฮโซ”คนมีเชื่อเสียงรวมถึงคนในรัฐบาล ที่กระจายไปทั่วประเทศ ที่กำลังก่อ“คลัสเตอร์”อื่นๆตามมา เช่นที่ปาร์ตี้ไฮโซบนเกาะภูเก็ต ดังตัวเลข ผู้ติดเชื้อใหม่ที่พุ่งทะลุพันวันแรกที่ 1,335 ราย โดยมี คลัสเตอร์ผับชลบุรี 99 ประจวบ 93 ส่วนโคราชติดจากหมูกระทะ 94 ราย ไม่นับรวมเชียงใหม่ที่น้องๆกรุงเทพฯ
@ที่น่าสนใจคือประเด็น“ทางออก”กับสถานการณ์“โควิด3”ที่ยังพีคต่อ แบบที่มีการตั้งโจทย์ถึงเรื่องการจัดการวัคซีน ที่ก่อนหน้านี้มีการเตือนด้วยความกังวลจาก “คุณหมอนิธิ มหานนท์” ที่ประเมิน ว่าหากไม่สามารถฉีดได้เร็วกว่าวันละ3แสนโดสที่คำนวณแล้วจะใช้เวลา 4 เดือน ถึงสร้างภูมิคุ้มกันได้ตามเป้าคือ 70% ของประชากรจะน่าห่วงถึงการกลายพันธุ์และจำนวนการระบาดเพราะวัคซีนที่นำเข้าอาจไม่ได้ผล โดยจากข้อมูลการฉีดวัคซีนของประเทศไทย
ล่าสุด10เม.ย.พบว่า มีวัคซีนจัดสรร1,038,385โดส จากโดยรวมประมาณ2ล้านโดส เป็นซิโนแวค9.5แสนโดส แอสตร้า 8.6หมื่นโดส มีการนำมาฉีดแล้ว 5.5แสนโดส เป็นเข็มแรก 4.8แสนโดส โดยข้อมูลความเร็วในการฉีดวัคซีนโควิคต่อวัน 10เม.ย.พบว่า ฉีดได้ 1.8หมื่นโดส 11เม.ย.1.4หมื่นโดส วันที่ 12เม.ย.8.4พันโดส รวม 5.7แสนโดส ที่สอดรับกับ การแถลงของ “หมอโอภาส” อธิบดีกรมควบคุมโรค เมื่อวาน(13เม.ย.)ว่า ระหว่าง 28ก.พ.-12เม.ย. มีผู้รับวัคซีนสะสม 578,512ราย วันที่12เม.ย.มีผู้รับวัคซีนเข็มที่1จำนวน6,424ราย เข็มที่2จำนวน 2,056ราย โดยถือว่าฉีดได้เกินเป้าหมายที่กำหนดไว้ ทั้งที่หากเทียบเคียงแล้ว อาจถือว่า ถ้าอัตราความเร็วในการฉีดประมาณนี้ ยังถือว่าน่าเป็นห่วง
@สถานการณ์“หน้างาน”ดังว่าทำให้หลายฝ่าย ที่ไม่สบายใจ เริ่มกันมาพิจารณาถึงเรื่อง“วัคซีน”ว่านอกจากจะเป็น“ทางออก”ทั้งประเด็นเศรษฐกิจยังส่งผลถึงการควบคุมสถานการณ์ระบาดด้วย โดยเริ่มมีการพูดถึงสาเหตุของปัญหาว่าเป็นเพราะ 1.ไม่มีวัคซีนพอให้ฉีด 2.ระบบการบริหารจัดการการฉีด หรือ3.ปัญหาปชช.ไม่มั่นใจเลยมาฉีดที่แม้จะยังไม่มีการประเมินจากฝ่ายเกี่ยวข้องภาครัฐแต่ก็เริ่มเห็นภาคธุรกิจเอกชนทนไม่ได้ เริ่มออกมาขยับบ้างแล้ว ดังเช่นสภาหอการค้าแบบที่“สนั่น อังอุบลกุล” ประธานกรรมการหอการค้าแห่งประเทศไทยบอกว่ามีการ“คอนเน็ค” กับ“ผู้ว่าอัศวิน”ในฐานะ“พ่อเมืองหลวง”ของประเทศ ในการนำร่องเข้าไปช่วยเรื่องการจัดการหลังบ้าน ที่พบว่าภาครัฐยังมี“ข้ออ่อน”การรับมือการฉีดวัคซีนโควิดที่ยังไม่มีแผนชัดเจนทั้งสถานที่รองรับการฉีด หรือแม้แต่“แอปหมอพร้อม”ที่ดูแลเรื่องการลงทะเบียน ที่“ยังไม่พร้อม”เพราะระบบ ที่เอกชนเข้ามาช่วยจัดการ
โดยตั้งเป้าฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุดอย่างน้อย70%เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันเป็นโมเดลนำร่อง ที่ทั้งหมดต้องติดตามต่อไปว่า จะมี“สัญญานตอบรับ”จาก“ลุงทำเนียบฯ”อย่างไรกับ การที่มี“คุณหมอ”ภาคเอกชนประชาชนให้ความร่วมมือแบบพร้อมร่วมด้วยช่วยกัน ในการที่จะใช้ประโยชน์จากการนี้เอาชนะศึก“โควิดภาค3”หนนี้ได้หรือไม่
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news