Home
|
อาชญากรรม

มือถือแตงโม ถึงไทยแล้ว พบข้อมุลสำคัญทางคดีเพียบ!

Featured Image

 

 

หมอธวัชชัย นำมือถือ “แตงโม” ถึงไทยแล้ว ส่งมอบให้ ดีเอสไอ ที่สนามบิน รอส่งตรวจแล็บเช้านี้ -เตรียมเรียกพยานให้ปากคำสัปดาห์หน้า ก่อนลงสแกนแม่น้ำเจ้าพระยา

 

 

 

วันนี้ (7 ก.พ.68) ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ อดีตศัลยแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ได้เดินทางมาถึงที่สนามบินสุวรรณภูมิ หลังจากไปรับโทรศัพท์มือถือของ น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม ที่นายซาคาเนียน ราชา ไฮเดอร์ หรือบังแจ็ค บังแจ๊ค ซึ่งเก็บไว้ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

 

โดยมีเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ไปรอรับโทรศัพท์มือถือดังกล่าว ถึงประตูเครื่องบิน รวมทั้ง มีนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต และนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ไปร่วมสังเกตการณ์ด้วย
หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้นำเครื่องโทรศัพท์ส่งเจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ตรวจเก็บหลักฐานจากภายนอกของตัวเครื่อง เคส ซองพลาสติก และซิมก่อนเก็บเข้าถุงพลาสติกและปิดผนึกไว้

 

ทางด้าน พ.อ.นพ.ธวัชชัย เปิดเผยว่าตนใช้เวลาทั้งสิ้น 75 ชั่วโมงในการเดินทางไป-กลับสหรัฐอเมริกาเพื่อรับโทรศัพท์ของแตงโมที่แม่ของแตงโมให้บังแจ๊คเก็บไว้ตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน โดยการเดินทางไปครั้งนี้ถือว่าตนได้ทำหน้าที่พลเมืองโดยดีเอสไอไม่ต้องเสียงบประมาณเลย ซึ่งถ้าไม่เจออะไรก็ถือว่าเสมอตัว แต่ถ้าเจอเท่าไหร่ก็ถือว่าเป็นกำไร

 

ทั้งนี้ หลักฐานที่ได้จากโทรศัพท์ของแตงโมจะเป็นส่วนหนึ่งของหลักฐานทั้งหมด เป็นส่วนหนึ่งของ digital forensic เท่านั้น โดยมีข้อมูลอื่นๆ เช่น จีพีเอสเรือที่จะเอามาเทียบกับรูปภาพ ซึ่งหลักฐานที่มี จะสามารถนำเข้าสำนวนการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ได้แน่นอน รวมทั้งการทำลายหลักฐานของจำเลย แต่สำนวนฆาตกรรมคงไม่มี เพราะคงไม่มีฆาตกรคนไหนอัดคลิปตอนทำฆาตกรรม

 

พ.อ.นพ.ธวัชชัย กล่าวอีกว่า ถ้าจะไปหาคลิปกรีดขา คลิปตีกัน เราคงไม่หา แต่เรามีหลักฐานอย่างอื่นเช่น หลัง 20.26 น.ไปแล้วไม่มีรูปแตงโมในโทรศัพท์เลย โทรศัพท์คนอื่นบนเรือก็ไม่มี ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัย ทั้งนี้ในมือถือของแตงโมไม่มีรูปตั้งแต่หลังเกิดเหตุแล้วตามที่เพื่อนคุณแม่บอกว่าไม่เห็น แต่ทำไปพอส่งไปกู้มีรูปมาเยอะแยะ แค่นี้ก็จบแล้ว

 

ด้านนายอัจฉิยะ กล่าวว่า ข้อมูลจากมือถือของแตงโมเป็นเพียงส่วนประกอบ 5-10% เท่านั้น แต่มีหลักฐานอื่นๆ มากกว่านี้ที่จะเอาผิด ถึงไม่มีมือถือของแตงโมก็สามารถเอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐ เอาผิดคนบนเรือได้อยู่แล้ว โดยหลักฐานที่ดีเอสไอมีจำนวนมาก มีคนเกี่ยวข้องเป็น 100 คน ถึงเวลาที่ต้องกวาดให้เกลี้ยง เพราะนี่เป็นคดีอัปยศของประเทศไทย

 

อย่างไรก็ตาม ด้านนายอัจฉิยะ กล่าวว่า ภาพจากมือถือของแตงโมจะเป็นการยืนยันว่าช่วง 3-4 ทุ่มของวันเกิดเหตุ แตงโมไม่ได้อยู่บนเรือแล้ว แต่ตำรวจไปแถลงว่าแตงโมตกเรือเวลา 22.34 น. แสดงว่าที่อ้างว่าแตงโมตกเรือ โดนใบพัดเรือ ไม่ใช่เรื่องจริง

 

ด้านนายปานเทพ กล่าวว่า สิ่งที่เห็นในวันนี้เป็นการตอกย้ำว่าดีเอสไอทำงานอย่างโปร่งใส มีการเปิดพื้นที่ให้สื่อถ่ายภาพการเก็นหลักญานจากโทรศัพท์มือถืออย่างละเอียด ทั้งจากซองพลาสติก เคส บนตัวโทรศัพท์ และซิม เพื่อให้เห็นว่าจะไม่มีการดัดแปลงเพิ่มเติมหลักฐานใดๆ ความสงสัยของเราก็คืออยากให้ดีเอสไอตรวจสอบว่าเจ้าหน้าที่ที่ทำคดีแตงโมปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ ข้อมูลจากมือถือจะเป็นองค์กระกอบหนึ่งว่าเจ้าหน้าที่ได้ทำตามขั้นตอนหรือไม่

 

พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ดีเอสไอ กล่าวว่า วันนี้ได้มารับเครื่องโทรศัพท์ที่หมอธวัชชัยรับมาจากบังแจ๊ค โดยไปรับตั้งแต่ลงจากเครื่อง และสถาบันนิติวิทยศาสตร์ได้มาตรวจทางกายภาพของตัวเครื่องว่ามีดีเอ็นเอของใครติดอยู่บ้าง ต่อไปจะนำไปเก็บที่ห้องความมั่นคง เป็นความลับขั้นสูงสุด แล้วตอนเช้าจะส่งไปสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อเก็บหลักฐานทางแล็บทั้งหมด

 

เมื่อได้รับผลการเก็บข้อมูลแล้วจะขยายผลเชิญผู้เกี่ยวข้องที่มีดีเอ็นเอที่ตัวเครื่อง หรือมีข้อมูลในโทรศัพท์ มาให้ข้อมูลต่อไป โดยในสัปดาห์หน้า ช่วงวันที่ 10-17 ก.พ. จะเชิญผู้เกี่ยวข้องมาให้ปากคำ หลังจากนั้นสัปดาห์ถัดไปจะประสานกรมเจ้าท่า เพื่อลงสแกนภาพ 3 มิติในแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงที่เรือวิ่ง ตามที่จีพีเอสระบุ รวมทั้งสแกนภาพจุดที่เราสงสัยโดยใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ ซึ่งมีอยู่ 6 จุดที่ปรากฏตามคลิปต่างๆ และเปิดให้ประชาชนที่มีเบาะแสส่งข้อมูลมาให้เพิ่มเติมได้เพื่อหาข้อเท็จจริงว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

 

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube