“จุรินทร์”เร่งแก้ปัญหาเมียนมา ห้ามนำเข้าเครื่องดื่มจากไทย ทางบก บ่ายนี้เจรจาอีกรอบ หลังมีการผ่อนปรนให้ถึง 7 พ.ค.
นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึง กรณีที่ทางการเมียนมา ห้ามนำเข้าเครื่องดื่มจากไทย ทางบก แต่ให้นำเข้าเฉพาะทางเรือว่า จากการหารือกับทางการเมียนมาได้รับทราบเหตุผลว่า เมียนมามีความประสงค์ ห้ามนำเข้าเครื่องดื่ม จากทุกประเทศที่มีชายแดนติดต่อกันทั้ง ลาว, จีน, บังกลาเทศ, อินเดีย และไทย เป็นต้น เนื่องจากเมียนมา มีความเป็นห่วงปัญหาการลักลอบนำเข้า เครื่องดื่มรวมถึงมาตรฐานเครื่องดื่มบางรายการ จึงเป็นที่มาในการห้ามนำเข้าเครื่องดื่มเป็นการชั่วคราว
ซึ่งขณะนี้ฝ่ายไทยได้ขอให้ทางการเมียนมาพิจารณาปรับปรุง เปลี่ยนแปลงมาตรการโดยเร็วที่สุด เพราะผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มของไทยถือว่ามีมาตรฐานทุกรายการอยู่แล้ว ตามมาตรฐานสากล และมีการส่งออกไปขายทั่วโลก จึงขอให้ทางการเมียนมารีบพิจารณาผ่อนปรนโดยเร็วที่สุด บ่ายวันนี้จะมีการเจรจา กับกรมการค้าต่างประเทศอีกครั้งหนึ่ง เบื้องต้นทางการเมียนมาได้ผ่อนปรน โดยจะเริ่มมาตรการห้ามนำเข้าตั้งแต่ 7 พ.ค. จากกำหนดเดิม เริ่ม 1 พ.ค. เพื่อให้ผู้ส่งออกของไทยได้มีเวลาส่งสินค้าข้ามแดนเพิ่มขึ้น และเมื่อสินค้าข้ามชายแดนไปแล้วเมียนมายังยินดีที่จะให้นำสินค้ากระจายต่อไปได้
สำหรับยอดส่งออกเครื่องดื่มจากไทยไปเมียนมา มีมูลค่าการส่งออกราว 10,000 ล้านบาทต่อปี จากมูลค่าการค้าชายแดนถึงปีละราว 80,000 ล้านบาท หากมีการห้ามนำเข้าเครื่องดื่มจะทำให้ไทยได้รับผลกระทบ 1 ใน 8 ของมูลค่าการค้าระหว่างไทยเมียนมา ดังนั้น ทางออกช่วงนี้ไทยต้องเร่งเจรจาเร็วที่สุดในฐานะผู้ส่งออกรายใหญ่
“จุรินทร์”ชี้คำสั่งนายกฯยุติแล้ว ให้ปชป.ดูแลใต้เหมือนเดิม รอ”วิษณุ” ปรับปรุงส่ง”บิ๊กตู่”
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 85/2564 เรื่อง มอบหมายให้รัฐมนตรีรับผิดชอบแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัดว่า เรื่องนี้น่าจะยุติได้แล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่า คำสั่งนี้แบ่งเป็น 2 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 คำสั่งเดิมที่ไม่มีปัญหา และคำสั่งฉบับที่ 2 คือ ฉบับที่กำลังเป็นปัญหา เมื่อวาน(27 เม.ย.) นายกรัฐมนตรีแจ้งให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีรับทราบ ว่า ให้ยึดถือคำสั่งแรกไปก่อน และขอให้ทุกคนอย่าเพิ่งทำอะไร โดยนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ไปดูแลปรับปรุง จากนั้น ให้เสนอมายังนายกรัฐมนตรี เพื่อตัดสินใจ
ทั้งนี้ ได้หารือกับนายวิษณุ ซึ่งผลหารือให้ยึดคำสั่งฉบับที่ไม่มีปัญหาไปก่อน แล้วนายวิษณุจะดำเนินการทำข้อเสนอไปยังนายกรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาและลงนามต่อไป โดยถือหลักให้ทุกอย่างเหมือนคำสั่งฉบับที่ 1 ยกเว้นส่วนที่รัฐมนตรีคนใหม่เข้ามาดำรงตำแหน่ง ซึ่งจำเป็นต้องปรับปรุง รวมทั้งถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงในส่วนที่รัฐมนตรีแต่ละคน จะแลกเปลี่ยนภารกิจกันเป็นการส่วนตัว ดังนั้น จึงคิดว่าทุกอย่างน่าจะยุติได้แล้ว
“จุรินทร์”เซ็นอนุมัติมูลนิธิ ม.ร.ว.เสนีย์ฯ สั่งซื้อหน้ากากอนามัย 1 ล้านชิ้น แจกประชาชนสู้”โควิด”
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลทำงานล้มเหลวในการแก้ปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ว่า รัฐบาลได้ใช้ความพยายามอย่างเข้มแข้งในการแก้ปัญหานี้มาอย่างต่อเนื่อง ในฐานะที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ได้มีความประสงค์ในการเข้ามาช่วยคลี่คลายปัญหานี้ เพื่อเสริมการทำงานในการแก้ปัญหาของรัฐบาล โดยเมื่อวันที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านมา พรรคได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการสถานการณ์ฉุกเฉินพรรคประชาธิปัตย์ (ศปฉ.ปชป.) เพื่อช่วยส่งต่อผู้ป่วยโควิดไปยังสถานพยาบาลต่างๆ โดยหลังจากได้เริ่มดำเนินการแล้วนั้น พบว่า มีผู้ป่วย 42 ราย มาขอความช่วยเหลือ และสามารถประสานงานกับกระทรวงสาธารณสุขให้ได้เตียงในการรับการักษาแล้ว ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือเรายังดำเนินการประสานงานช่วยเหลือต่อไป ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใดที่ต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์เข้าช่วยเหลือ สามารถติดต่อมาได้ที่เฟซบุ๊ก หรือทวิตเตอร์ของพรรค หรือผ่านทางส.ส. อดีตส.ส. อดีตส.ก. ของพรรคได้เช่นกัน
ขณะเดียวกัน นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า ในฐานะที่ตนเป็นประธานมูลนิธิ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ด้วย ได้ลงนามอนุมัติให้มีการจัดซื้อหน้ากาอนามัยจำนวน 1 ล้านชิ้น เพื่อให้สมาชิกพรรค และผู้ที่เกี่ยวข้อง นำไปแจกจ่ายให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยง หรือกลุ่มที่มีความจำเป็น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนบางส่วน โดยจะเริ่มดำเนินการได้ภายใน 1-2 วัน
ส่วนสถานการณ์โควิด-19 กับการเปิดสมัยประชุมสภา ก็ขอให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้พิจารณา ทั้งนี้ ส่วนตัวเดาว่า คงจะเชิญวิปฝ่ายต่างๆ มาหารือร่วมกัน เหมือนกับที่ได้เคยปฏิบัติ เท่าที่ติดตามก็ได้เดินไปในแนวทางนี้อยู่แล้ว แต่สำหรับ พ.ร.ฎ. เปิดสมัยประชุมนั้น เป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการเพราะรัฐธรรมนูญบังคับไว้ว่า จะต้องเปิดสมัยประชุมเมื่อไหร่ อย่างไร แต่ขั้นตอนการนัดหมายการประชุม ประธานรัฐสภาอาจจะ หรือคงจะได้มีการหารือกับวิปต่อไป
“จุรินทร์”ไม่รู้ใครนินทานายกฯ ไม่ขอให้ความเห็น ยันโอนอำนาจแค่เรื่องแก้โควิด เพื่อความสะดวกในการแก้ปัญหา
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณี มติ ครม. เรื่องโอนอำนาจ 31 พ.ร.บ. ให้นายกรัฐมนตรีว่าเป็นเรื่องที่ได้มีการดำเนินการมาต่อเนื่องอยู่แล้ว ตั้งแต่เกิดโควิด เพราะได้มีการออกคำสั่ง หรือออกประกาศในลักษณะการโอนอำนาจบางส่วน เฉพาะเรื่องการแก้ปัญหาโควิด เพื่อให้นายกฯเป็นผู้บัญชาการสูงสุดในการแก้ปัญหา และดำเนินการออกคำสั่งมาโดยต่อเนื่อง สำหรับมติโอนอำนาจ 31 พ.ร.บ. นั้น ถือว่าเป็นคำสั่งที่ปรับปรุงคำสั่งเดิมที่มีอยู่แล้ว เพียงแต่เพิ่มไปอีก 2 ฉบับในส่วนของกฎหมายที่ให้อำนาจดำเนินการเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเกณฑ์ทหาร กับเรื่องของวัคซีนเพราะสถานการณ์โควิดอาจมีผลกระทบกับเรื่องดังกล่าวได้ ดังนั้นนายกรัฐมนตรีจะได้ใช้อำนาจโดยสะดวก
ส่วนคำถามที่เกี่ยวกับเรื่องความรับผิดชอบจะอยู่ที่นายกฯ หรืออยู่ที่ ครม. นั้น รองนายกฯ กล่าวว่า ไม่ขอวิจารณ์ไปถึงเรื่องนั้น แต่ในหลักการทำงานร่วมกันก็ต้องถือว่าในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีก็ต้องทำงานร่วมกันเพราะถือว่าเป็นรัฐบาลเดียวกัน
สำหรับกรณีที่มีข่าวว่า มีการนินทาลับหลังในที่ประชุม ครม. นายจุรินทร์ กล่าวตอบว่า ไม่มีข้อมูลเรื่องนี้ ดังนั้น ไม่ขอให้ความเห็น และในส่วนของพรรค ก็ไม่ได้กำชับอะไรเพราะเราไม่มีข้อมูลเบื้องต้นอยู่แล้ว ทั้งนี้ รัฐบาลนี้ก็เป็นรัฐบาลผสม เช่นเดียวกับหลายรัฐบาลของประเทศไทยในระยะเวลาที่ผ่านมา ที่มีลักษณะเป็นรัฐบาลผสมหลังการเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นการทำงานร่วมกันในรูปแบบของรัฐบาลผสมก็แน่นอนว่า จะต้องมีการนำนโยบาย นำความเห็นของแต่ละพรรคการเมืองมาผสมผสานกันและกำหนดมาเป็นแนวทาง กำหนดมาเป็นนโยบายของรัฐบาล การดำเนินการในการตัดสินใจพิจารณาอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะมีรูปแบบในภาพรวม ตนเคยเป็นรัฐบาลผสมมาหลายครั้ง ก็จะฟังความเห็นซึ่งกันและกัน และนำมาสู่การตัดสินใจร่วมกันโดยใช้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นกลไกหลัก หรือกลไกที่เรียกว่าใหญ่ที่สุดที่เป็นทางการในการพิจารณาตัดสินใจ รัฐบาลนี้ก็ถือว่าเป็นรัฐบาลผสมอีกรูปแบบหนึ่ง เพราะฉะนั้นหลักการการทำงานก็น่าจะเป็นไปในแนวทางนี้ แต่รายละเอียดก็ขึ้นอยู่กับบริบท
ของแต่ละสถานการณ์ แต่ละกรณีไป
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news