ค.ศ. 1957 นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นยุคที่ความเร็วการันตีความรุ่งโรจน์ ผู้ที่ครองความเร็ว คือผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด
Ferrari คือภาพยนตร์ชีวประวัติชายผู้เคยอยู่หลังพวงมาลัย ก่อนจะผันตัวมาเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทซูเปอร์คาร์ระดับโลก
ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้หยิบยกเรื่องราวในช่วงเวลาหนึ่งของ “เอนโซ เฟอร์รารี่” (นำแสดงโดย อดัม ไดรเวอร์) ใครจะรู้ว่าเบื้องหน้าชีวิตที่ประสบความสำเร็จในเรื่องของธุรกิจ เบื้องหลังอาจจะขมขื่นก็เป็นได้
เรามีโอกาสได้ไปรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ในรอบสื่อมวลชน ส่วนตัวไม่ค่อยดูหนังแนวชีวประวัติสักเท่าไร หากการลำดับเรื่องราวของเราที่จะเล่าหลังจากนี้คลาดเคลื่อนไปบ้าง แต่โดยรวมเราสรุปให้แล้วในบางช่วงตามลำดับ ส่วนเนื้อหาที่นอกเหนือจากในหนัง เราศึกษาเพิ่มเติมเล็กน้อยเพื่ออิงกับประวัติให้มากที่สุด
หลังจากนี้จะเป็นการบอกเล่าถึงเนื้อหาบางส่วนแถมสปอยล์เล็กน้อย สำหรับใครที่ชื่นชอบหนังแนว Biography หรือซูเปอร์คาร์ เราอยากแนะนำหนังเรื่องนี้ไปดูเถอะ แล้วจะรู้ว่าชีวิตจริงยิ่งกว่านิยายแน่นอน บอกในฐานะผู้เสพภาพยนตร์ที่เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง 🙂
[ชวนดูแบบไม่สปอยล์]
สำหรับหนัง Ferrari หนังดำเนินเรื่องเป็นเส้นตรง บอกเล่าเป็นลำดับ โดยหยิบยกจุดสำคัญในชีวิตในแต่ละบทบาท เหตุการณ์สำคัญของ เอนโซน เฟอร์รารี่ มาให้พวกเราได้ชม
โดยเราจะขอหยิบบางส่วนที่สำคัญ น่าสนใจมาเล่า ที่เหลือขอเก็บไว้ให้ทุกคนได้ไปติดตามกันเองในหนังและหลังจากนี้คือเรื่องราวของ เอนโซ เฟอร์รารี่ ม้าปีกเหล็กสัญลักษณ์ซูเปอร์คาร์ระดับโลก…
[จุดเริ่มต้นของชีวิต และตำนานเฟอร์รารี่]
“เอนโซ เฟอร์รารี่” (นำแสดงโดย อดัม ไดรเวอร์)
ย้อนกลับไปในศตวรรษ 50 “เอนโซ เฟอร์รารี่” อดีตนักแข่งรถมือฉมัง ผู้สร้างปรากฏการณ์ Formula 1 ให้อยู่ในยุควิกฤต ชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยอีโก้และความทะเยอทะยาน เขาสละบทบาทหลังพวงมาลัย ออกมาตั้งทีมนักแข่งรถนามว่า Ferrari ของตัวเอง โดยมีภรรยาสาว “ลอร่า เฟอร์รารี่” (นำแสดงโดย เพเนโลเป ครูซ) ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่หุ้นส่วนคนสำคัญ แต่ทว่า…ใครจะรู้ว่าชีวิตคู่ของทั้งสอง ควบคุมได้ยากยิ่งกว่าพวงมาลัยรถ…
“เอนโซ อันเซลโม เฟอร์รารี่” เกิดที่เมืองโมเดนา ประเทศอิตาลี ในปี ค.ศ. 1898 พอเริ่มจำความได้ เขากลายเป็นชายที่หลงใหลมนต์เสน่ห์ของซูเปอร์คาร์ไปซะแล้ว ถ้าให้พูดเอาเป็นว่ามันอยู่ในสายเลือด เดิมทีเอนโซอาศัยอยู่กับพ่อและพี่ชาย จนกระทั่งทั้งสองเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ ที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนั้น
18 ปี เขาต้องยืนหยัดอย่างโดดเดี่ยว มีเพียงความหลงใหลในรถสปอร์ตเท่านั้น เสมือนเพื่อนรู้ใจของเอนโซ จนเขาอายุ 21 ปี เริ่มหันมาสนใจการแข่งรถอย่างจริงจัง จนเข้าสู่วงการนักบิดมือฉมังที่ใคร ๆ ในยุคนั้น ต่างรู้จักกันดีภายใต้สังกัด “Alfa Romeo” ความเก่งที่เปรียบเสมือนพรสวรรค์มาพร้อมกับพรแสวง ทำให้เขาได้แชมป์ในหลายรายการ
จนกระทั่งสามารถก่อตั้งทีมนามว่า Ferrari ได้ในที่สุด…
แต่ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร เมื่อทุกคนบนโลกชิงความเร็วเพื่อยืนจุดสูงสุดบนถนนเส้นนี้ เหล่าบริษัทมากมาย พยายามทุบสถิติของ Ferrari … ส่งผลให้การทดสอบความเร็วเริ่มท้าทายขึ้นเรื่อย ๆ รถยิ่งแรง โอกาสได้เปรียบก็ค่อนข้างสูง
ความทะเยอทะยานของ เอนโซ เปรียบเสมือนม้าติดปีก แต่ก็ต้องมาปีกหักเมื่อเกิดอุบัติเหตุกลางสนามประลองความเร็ว ทำให้เขาต้องสูญเสียนักแข่งของตัวเองไป 1 คน สำหรับใครหลายคนภาพอุบัติเหตุครั้งนั้นสยองจนติดตา แต่ไม่ใช่สำหรับเขาคนนี้ เพราะการสูญเสียกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับ เอนโซ…
[การปรากฏตัวของนักแข่งคนใหม่ โชคหรือโศกนาฎกรรม?]
“อัลฟองโซ เดอ ปอร์ติโก” (นำแสดงโดย แกเบรียล ลีโอน)
ความสูญเสียที่เกิดขึ้นบนสนาม ก่อนการแข่งขันแมตซ์สำคัญที่มิลลิ มิเกลีย (Mille Miglia) สนามอันทรงเกียรติในปี 1957 ผลักดันให้เอนโซ ยอมทุ่มหมดหน้าตัก เขาจ้างสื่อมวลชนหลายสำนัก สร้างข่าวลือเรื่องการปฏิเสธธุรกิจร่วมกับฟอร์ดเพื่อให้เป็นที่สนใจ เพราะในยุคนั้นชื่อเสียงของ Ferrari เริ่มเป็นที่กว้างขวางแล้ว
ส่งผลให้นักธุรกิจมากหน้าหลายตาในวงการอุตสาหกรรมรถยนต์ อยากจะร่วมหุ้นลงทุนกับเอนโซ และนั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ ชื่อเสียงที่มาพร้อมกับเงินทอง เพื่อขยายธุรกิจของตัวเองให้เติบโต
ช่วงเวลากอบโกยของเอนโซกำลังไปได้สวย ทันใดนั้นนักแข่งรถม้าเร็วคนใหม่ก็ปรากฏขึ้น
“อัลฟองโซ เดอ ปอร์ติโก” (นำแสดงโดย แกเบรียล ลีโอน) ชายหนุ่มที่มาพร้อมรูปโฉมหล่อเหลาและข่าวกุ๊กกิ๊กกับดาราสาวฮอลลีวูด บอกตรง ๆ ว่าการมาของชายคนนี้ ทำให้วงการของเอนโซถึงจุดพลิกผันเลยก็ว่าได้
การปรากฏตัวของ อัลฟองโซ เหมือนโชคชะตากำหนด ความมุ่งมั่นสูบฉีดเขาจนเต็มปอด ชายหนุ่มหมั่นฝึกซ้อมความเร็วบนสนามเพื่อเรียกสายตาจากเอนโซให้สนใจมาที่เขา ว่าเขานี่แหละคือความหวังของทีม Ferrari และชัยชนะบนสนามมิลลิ มิเกลีย อัลฟองโซต้องเป็นที่ 1
[มิลลิ มิเกลีย (Mille Miglia) สนามอันทรงเกียรติ ชี้ชะตา Ferrari]
รถพร้อมคนพร้อมชีวิตหลังจากนี้ขึ้นอยู่กับคันเร่ง ในวันแข่งขันจริงสื่อมวลชนมากหน้าหลายตา ให้ความสนใจมาที่เอนโซโดยเฉพาะ เรียกว่าวินาทีทอง ทุกสายตาจับจ้องมาที่ทีม Ferrari ก่อนรุ่งสางนักแข่งทุกคนต่างอำลาคนรักของตัวเอง เพราะทุกคนย่อมรู้ดีว่าชีวิตที่ขึ้นอยู่กับเร็ว มีโอกาสที่พวกเขาจะพลาดบนท้องถนนเช่นเดียวกัน
อนาคตของ Ferrari ขึ้นอยู่กับระยะทาง 1,000 ไมล์นับจากนี้ ผู้ชมข้างสนามไม่เว้นแม้แต่เอนโซ เพียงไม่กี่อึดใจรถสปอร์ตก็แล่นออกจากสนามด้วยความเร็ว ตัวเต็งของทีม Ferrari อีกหนึ่งตัวแปรสำคัญ เขาคือชายวัยกลางคน เป็นนักแข่งอีกคนในทีมนามว่า “เปโร ทารัฟฟี” (นำแสดงโดย แพทริค เดมป์ซีย์)
“เปโร ทารัฟฟี” (นำแสดงโดย แพทริค เดมป์ซีย์)
การเดิมพันด้วยความเร็วดำเนินไปเรื่อย ๆ ทอดยาวไปจนกว่าจะถึงเส้นชัย
ฉากนี้เราจะได้เห็นการแข่งขันรถแบบจริงจัง ที่ต่างคนแทบจะไม่แตะเบรกกันเลย และต่อให้อยู่ภายใต้สังกัด Ferrari ชื่อทีมเดียวกันก็จริง แต่อย่าลืมว่าที่ 1 มีแค่ตำแหน่งเดียวเท่านั้น
และแล้วเหตุการณ์ที่ร้ายแรงจนเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในชีวิตของเอนโซก็เกิดขึ้น โศกนาฏกรรมที่มิลลิ มิเกลีย เมื่อจู่ ๆ นักแข่งทีม Ferrari อัลฟองโซ ชายหนุ่มที่ทุกคนต่างพากันคิดว่านี้ คือชัยชนะของเอนโซแน่นอน
เขาประสบอุบัติเหตุยางแตกระหว่างการแข่งขัน ทำให้รถลอยขึ้นฟ้าอย่างกะทันหันไปชนกับเสาโทรศัพท์ ก่อนจะหล่นลงไปทับกลุ่มคนดูที่ยืนเบียดเสียดดูการแข่งขันอยู่ริมถนน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์สยองนี้ราว ๆ 9 คน แน่นอนว่ามีทั้งเด็กและผู้ใหญ่
Photo Credit: Ferrari film
Photo Credit: GETTY IMAGES
(ซากรถเฟอร์รารีจากอุบัติเหตุที่มิลลิ มิเกลีย)
อุบัติเหตุร้ายแรงดังกล่าวส่งผลให้ทางการอิตาลี ประกาศให้การแข่งรถบนถนนสาธารณะเป็นสิ่งผิดกฎหมายทันที ขณะที่เอนโซก็ถูกตั้งข้อหาทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต แม้ว่าจะได้รับการประกาศให้พ้นผิดในภายหลัง
ส่วนชัยชนะในการแข่งขันครั้งนั้น ตกเป็นของเปโรนักขับทีม Ferrari หนุ่มวัยกลางคนมากฝีมือที่สามารถกอบกู้ Ferrari ให้เอนโซได้สำเร็จ ท่ามกลางความสูญเสียที่เกิดขึ้น และชัยชนะที่มาพร้อมคราบน้ำตา จากครอบครัวผู้เสียชีวิตข้างสนาม ส่งผลให้เหตุการณ์ที่มิลลิ มิเกลีย กลายเป็นโศกนาฏกรรมของตระกูลเฟอร์รารี่จวบจนถึงทุกวันนี้
[บทบาทชีวิตที่ขมขื่นของผู้ก่อตั้งซูเปอร์คาร์ระดับโลก]
เบื้องหน้าเอนโซคือนายใหญ่ นักธุรกิจไฟแรงที่ประสบความสำเร็จ ส่วนเบื้องหลังคือชายสุดแสนจะธรรมดา มีทั้งรัก โลภ โกรธ หลงและตัณหา ดั่งถนนที่เต็มไปด้วยก้อนกรวดขนาดใหญ่จนบางทีต้องหักหลบ ใครจะรู้ว่าชีวิตการแต่งงานของเขาไม่ได้ประสบความสำเร็จเหมือนหน้าที่ การมีชื่อเสียง ผู้คนต่างยกย่อง แท้จริงแล้วคือหน้ากาก เอนโซมีภรรยา เธอชื่อว่า “ลอร่า เฟอร์รารี่” (นำแสดงโดย เพเนโลเป ครูซ)
ทั้งสองแต่งงานมีลูกชายด้วยกัน 1 คน หนังหยิบยกช่วงเวลาของครอบครัวนี้ในพาร์ทที่มีความสุข มาให้เราได้รับชมไม่กี่นาที ก่อนเฉลยสาเหตุความขมขื่นที่เกิดขึ้นกับชีวิตคู่ ด้วยการจากไปของลูกชายพวกเขา ที่ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้อเสื่อม ส่งผลให้เขาจากไปในวัย 24 ปี ทายาทหนึ่งเดียวของอาณาจักร Ferrari เป็นอันต้องเสียชีวิตลง
เมื่อขาดเชือกแห่งสายสัมพันธ์ เอนโซหายหน้าไปจากธุรกิจของตัวเองสักพักใหญ่…
“ลอร่า เฟอร์รารี” (นำแสดงโดย เพเนโลเป ครูซ)
หนำซ้ำปัญหาชีวิตคู่ก็เกิดความระหองระแหง การจะหาที่พึ่งทางใจอีกหนึ่งก็คงไม่แปลกสำหรับเอนโซ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เขามีโอกาสได้รู้จักกับ “ลีนา ลาร์ดี” (นำแสดงโดย เชลีน วูดลีย์) ระหว่างต้องไปปฏิบัติหน้าที่เป็นกรณีพิเศษ แทบจะไม่ได้จับต้องธุรกิจของตัวเองเลย
ความใกล้ชิดก่อตัวเป็นความรัก จนกระทั่งลีนาตั้งท้องกับเอนโซ จุดนี้หลายคนคงคิดว่าเหมือนฟ้าผ่ากลางอกมาที่ชายหนุ่ม แต่เปล่าเลยเขากลับดีใจราวกับถูกรางวัล ทั้งสองใช้ชีวิตแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ถ้าเรียกตามประสาชาวบ้าน ก็คือคบชู้สู่ชายกันนานนับปี
จนกระทั่ง “ปิเอโร ลาร์ดี” ลูกชายของเอนโซ และ ลีนา โตจนจำความได้ ในขณะเดียวกันเอนโซก็ไม่ได้หย่าขาดกับลอร่า เพราะในยุคนั้นการหย่าถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายของอิตาลี
“ลีนา ลาร์ดี” (นำแสดงโดย เชลีน วูดลีย์)
[การตัดจบของหนังที่ทิ้งทายการจากไปของ เอนโซ เฟอร์รารี]
ก่อนหนังจะจบลงอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย พาร์ทนี้เป็นการประชันบทระหว่างเอนโซกับลอร่าโดยเฉพาะ ทั้งสองปะทะคารมกันอย่างดุเดือด ลอร่าถ่ายทอดบทแม่ผู้แหลกสลายทั้งกาย และจิตใจ ให้เอนโซรับรู้ว่าเธอเองก็เจ็บปวดไม่แพ้เขาเหมือนกัน
สามีที่เบื้องหน้ามีแต่ธุรกิจ โดยลืมไปว่าธุรกิจที่เขาหมายมั่นปั้นมือ ลอร่าเองก็มีส่วนทำให้มันประสบความสำเร็จเช่นกัน แต่สิ่งที่เธอได้รับคือการรู้ว่าสามีของเธอ แอบอยู่กินกับเมียนอกกฎหมายนานนับปี แถมยังให้กำเนิดลูกชายสุขภาพแข็งแรงอีกด้วย
ยื้อก็เหมือนจะยิ่งเหนื่อย หากความสัมพันธ์ไปต่อไม่ได้ ลอร่าไม่ได้ขอให้เอนโซนั้นเลือกเธอเลย สิ่งที่เธอต้องการคือห้ามให้ ปิเอโร ลูกของลีนา ใช้นามสกุลเฟอร์รารี่โดยอันขาด หากจะให้เด็กชายเข้ามาอยู่ในวงศ์ตระกูล จะต้องรอจนกว่าเธอหมดลมหายใจเท่านั้น
เอนโซถือบ่วงที่เรียกว่าทะเบียนสมรสเอาไว้เพราะยุคนั้นมีกฎหมายห้ามหย่าร้างกันในอิตาลี จนกระทั่งถูกยกเลิกภายหลังในปี 1970 ส่วนลอร่าเธอเสียชีวิตในปี 1978
เอนโซจึงประกาศให้ปิเอโรเป็นทายาทอาณาจักรเฟอร์รารี่ทันที…
[ไว้อาลัยชายผู้เปรียบเสมือนม้าเหล็กติดปีกวงการซูปเปอร์คาร์]
“เอนโซ เฟอร์รารี”
“เอนโซ เฟอร์รารี” (นำแสดงโดย อดัม ไดรเวอร์)
หลังหนังจบได้มีการบอกกล่าวถึงช่วงที่เอนโซ เฟอร์รารี่ เสียชีวิตในวันที่ 14 สิงหาคม 1988 ขณะอายุ 90 ปี ส่วนบั้นปลายชีวิต เขาขายหุ้นบริษัท 90 เปอร์เซ็นต์ให้กับ Fiat โดยที่ลูกชาย ปิเอโร ถือหุ้น 10 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ และยังได้ครองตำแหน่งรองประธานบริษัทอีกด้วย
[ความเซอร์ไพร์สของหนัง]
ถ้าให้พูดจุดที่ว้าวเราคิดว่ายาก เพราะหนังชีวประวัติใคร ๆ ก็รู้ดีว่าต้องถ่ายทอดมาจากเรื่องจริง บอกตรง ๆ เราค่อนข้างเซนซิทิฟพอสมควร เพราะกลัวจะเล่าคลาดเคลื่อนแต่ทั้งนี้เราก็มีศึกษานอกเหนือจากในหนังเพิ่มเติมอยู่บ้าง เพื่อให้ตอนจบทุกคนจะได้เข้าใจตรงกัน
และแน่นอนเราลงเอยแบบเดิมเลย คือแนะนำให้ทุกคนไปดูแล้วจะสัมผัสถึงการแข่งขันรถที่เดิมพันด้วยชีวิตจริง ๆ ในยุคนั้น มันต่างจากปัจจุบันที่เราอยู่อย่างสิ้นเชิง
[จุดเด่นของ Ferrari สำหรับมะกอกเน่า]
-เป็นหนัง Biography เล่าเกี่ยวกับเฟอร์รารี่ได้น่าสนใจ
-ฉากการแข่งขันใช้มุมกล้องดีมาก ทำให้เรารู้สึกเหมือนอยู่หลังพวงมาลัยจริง ๆ หวาดเสียวและอินไปตาม ๆ กัน
[จุดสะดุดของ Ferrari สำหรับมะกอกเน่า]
-หนังไม่มีเกริ่นก่อนเลยว่าจะจบ จู่ ๆ ก็จบแบบอ้าว…
-อยากเห็นตัวละคร อัลฟองโซ แสดงความสามารถมากกว่านี้หรือบอกประวัติก่อนมาเข้าทีมเล็กน้อย
-ฉากอุบัติค่อนข้างสยอง ทำได้ดีเลยทีเดียว 555 เราคอหนังสยอง แต่ถ้าใครเซนซิทิฟก็ระวัง ๆ หน่อย
สำหรับคะแนนเรื่องนี้เราให้ 8/10 ไม่ต้องถามหาอีก 2 คะแนน เอาเป็นว่าไปดูเถอะ ใช้ความรู้สึกผ่านสายตาบ้าง ไม่ต้องคิดเยอะนะชาวด้อมมะกอก 🙂 สุดท้ายขอไว้อาลัยให้กับ อัลฟองโซ เดอ ปอร์ติโก นักแข่งในนาม Ferrari ที่จบชีวิตลงอย่างกะทันหันบนสนามอันทรงเกียรติ
“หากเป็นผู้ที่ได้ใช้ชีวิตต่อ จงอย่าลืมคนที่จากไป…”
#มะกอกเน่ารีวิว
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews