“แพท พาวเวอร์แพท” เล่าอดีตเลือกทางผิด ยึดติด อีโก้สูง
เปิดใจถึงเรื่องราวชีวิตในอดีตเคยเลือกทางผิด หันหลังให้ครอบครัว เพราะความที่ยึดติด อีโก้สูง จนทำให้พาชีวิตเข้าไปอยู่ในเรือนจำกว่า 16 ปี สำหรับนักร้องหนุ่มแพท พาวเวอร์แพท หรือ แพท วรยศ บุญทองนุ่ม กว่าจะมีวันนี้ที่ได้กลับมาสู่อ้อมกอดของครอบครัว และได้มีชีวิตใหม่ รวมถึงการต้อนรับอย่างอบอุ่นของแฟนๆที่รอคอย ล่าสุดเจ้าตัวได้เปิดใจแบบหมดเปลือก พร้อมเผยถึงแพลนในอนาคต และชีวิตครอบครัวที่สาวๆหลายคนอยากจะรู้ว่าผู้หญิงในสเป็กของแพท พาวเวอร์แพท ต้องเป็นแบบไหน
อัปเดตชีวิตตอนนี้ เป็นอย่างไรบ้าง เริ่มปรับตัวได้มากขึ้นหรือยัง?
“หลักๆก็จะเดินสายไปถ่ายรายการเป็นหลักและอาจจะมีงานเกี่ยวกับทางวงพาวเวอร์แพท ก็มีการเริ่มคุยกันในเรื่องของแนวทางวงและมีคิวนัดซ้อมดนตรีและไปหาเครื่องดนตรีกัน ในตอนนี้ก็จะนำเพลงต่างๆกลับมาซ้อมกัน รวมถึงเพลงใหม่ด้วยที่ต้องมานั่งคุยกัน เริ่มมีการคัดเพลงที่ผมแต่งตอนอยู่ข้างในมาเล่นกีตาร์และร้องให้เพื่อนในวงฟังว่าชอบเพลงไหน เพลงไหนน่าจะเป็นก่อนเป็นหลัง ก็อยู่ในขั้นตอนของการคุยกันอยู่และส่วนใหญ่ถ้าเป็นวันหยุดก็จะอยู่กับครอบครัวเดินสายตามบ้านญาติและไปไหว้พระครับ ถามว่าชินไหมก็ยังไม่ชินสักทีเดียว แต่ก็ดีขึ้นกว่าสองสามวันแรกเยอะครับ เราก็เรียนรู้ไปเรื่อยๆดีกว่ามันต้องใช้เวลา หลายอย่างมันเปลี่ยนไปภายในเวลาไม่เท่าไหร่จากวันนั้นจนถึงวันนี้มันเปลี่ยนไปเยอะมาก กับกระแสฟีดแบคผมก็ทราบครับคือผมเปิดไอจีและมีคนมาตามเยอะพอสมควรครับ และได้เข้าไปอ่านในความคิดเห็นก็มีหลายคนที่แสดงความคิดเห็น แสดงความคิดถึงและสอบถามมาทางเรื่องของงานเพลงและผลงานต่างๆที่จะออกมา ก็รู้สึกอบอุ่นนะครับที่ทุกๆคนรักเราและเอ็นดูเราครับ”
“ สำหรับวงพาวเวอร์แพทก็จะเป็นการรวมตัวกันครบวงเหมือนเดิม เป็นดั้งเดิมเลย ส่วนในเรื่องของสังกัดว่าจะมีสังกัดหรือทำกันเองไหม ตอนนี้ยังไม่ได้สรุป 100% ครับยังอยู่ในขั้นตอนของการพูดคุยกับหลายๆที่อยู่ แต่คือเบื้องต้นจะมีเริ่มซ้อมดนตรีกันแต่ก็มีหลายค่ายทาบทามมา การตัดสินใจก็อยู่ที่สมาชิกวงด้วยและพี่เท็ดดี้ด้วยที่เป็นผู้ก่อตั้ง วงก็จะดูในเรื่องของรายละเอียด เรื่องสัญญาหลายอย่างครับ แฟนๆก็ยังจะได้ฟังเพลงในอดีตของวงแน่นอน”
มีอะไรที่เราอยากทำแล้วยังไม่ได้ทำบ้าง?
“ ก็หลายเรื่องนะครับ อย่างเรื่องที่พูดไว้ตั้งแต่วันแรกที่ออกมาคือเรื่องบวชก็ติดต่อสอบถามข้อมูลไปแต่ตอนนี้มันยังไม่ได้เพราะมันมีเรื่องของโควิดด้วยและญาติเราเยอะมาก ถ้าเกิดจัดงานหรือว่าถ้ามีการบวชก็อาจจะควบคุมลำบาก ก็เดี๋ยวต้องรอให้สถานการณ์โควิดมันคลี่คลายไปสักพักนึงก่อน แต่ก็ยังยืนยันความตั้งใจเดิมว่าจะบวชให้พ่อให้แม่เหมือนเดิมครับ เรื่องฤกษ์ยังไม่ได้ดูครับรอให้มันสะดวกก่อน”
มีโอกาสได้เจอแฟนๆ ได้พูดคุยกันบ้างไหม?
“ยังเลยครับ เนื่องจากสถานการณ์โควิดด้วย และงานแทบทุกวันเลยครับ”
แต่เปิดอินสตาแกรมแล้ว?
“ครับ ก็อัปรูปทุกวันครับ อย่างน้อยก็วันละหนึ่งรูผก็ต้องมี เพราะก็ยังไม่ค่อยชำนาญอะไรเท่าไหร่ก็ค่อยๆฝึกไปครับ ก็ได้รับการตอบรับอดีตอนนี้ก็มีคนติดตามกว่า 2 แสนแล้วครับ ก็ถือว่าเกินคาดนะครับ เพราะเปิดแค่ 10 กว่าวันเอง ยังไม่ได้มีโอกาสได้ตอบคอมเมนต์แฟนๆแต่ว่าก็ได้ดูได้อ่านบ้าง แต่ส่วนใหญ่ถ้ามีเวลาว่างก็จะพักผ่อนและอยู่กับครอบครัว เล่นกีตาร์ การปรับตัว ณ วันนี้ก็ได้ซักประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ครับ ก็เริ่มทำอะไรหลายๆอย่างเองเป็นแล้ว โอนเงิน ซื้อของ ผ่านโทรศัพท์ ผ่านแอพ สแกนคิวอาร์โค้ด เริ่มเป็นแล้ว และเรื่องของไลน์ เรื่องของการหาวิดีโอใน YouTube ดูในสิ่งที่เราสนใจ เรื่องกีตาร์ เรื่องเพลงก็เริ่มทำได้ เข้า Google หาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่เราชอบก็พอทำได้ ก็ค่อนข้างแตกต่างจากข้างในเยอะครับ ข้างนอกวุ่นวาย ชีวิตในโลกปัจจุบันวุ่นวายเหนื่อยจริง อยู่ข้างในทุกอย่างมันนิ่งและทุกอย่างมันเสร็จไประบบหมด แต่อันนี้มันยุ่งหลายอย่าง อย่างเรื่องไอจีก็เหมือนกับเป็นกิจวัตรประจำวันแล้วว่าเราจะต้องอัปอดตทุกวันให้แฟนคลับได้รู้ จะต้องคิดแล้วว่าจะแคปชั่นอะไรภาพอะไร มันเป็นอีกภารกิจหนึ่งที่งอกเข้ามาในชีวิตประจำวัน มันก็เป็นการบ้านให้เราคิดหลังจากที่เราต้องคิดเรื่องงาน เรื่องการใช้ชีวิต ถามว่าทำให้เครียดไหม ก็ไม่เครียดครับ ผมไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้น เพียงแต่ว่ามันรู้สึกยุ่ง และอาจจะไม่ค่อยมีเวลาได้ทำอะไรที่เราอยากจะทำ”
หลายคนทำแฟนเพจให้เรา และมีคนเรียกว่าแด๊ดดี้ เราเขินไหม?
“ ไม่เกิดหรอกครับก็น่ารักดีนะบางคนก็มีเรียกเฮียเรียกท่านขุนย้อนอดีตมาบางคนก็บอกว่าเหมือนกัปตันอเมริกาที่ถูกฟรีดไว้กลับมามันก็น่ารักดีครับ”
หลายคนยังชื่นชมในความหล่อเหมือนเดิมที่ไม่เปลี่ยนเลย?
“เหรอครับ ผมอายุมากแล้วนะ(หัวเราะ) จะ 41 แล้ว ยังไงก็ขอบคุณแล้วกันครับที่ยังชื่นชอบผมก็รู้สึกอบอุ่นนะครับ ที่ทุกคนชื่นชม ผมไม่ได้ยึดติดกับความดังหรือลาภยศอะไรมาตั้งนานแล้ว แต่ว่าวันนี้ที่ทุกคนให้ความสนใจกับผมผมก็ดีใจนะดีใจมากและขอบคุณมากเลย และยินดีที่จะตอบคำถามทุกคนและพูดคุยกับทุกคนเพราะว่าผมถือว่าทุกคนให้ใจกับเรา เราก็รู้สึกอบอุ่นครับ”
ที่ผ่านมาถือว่าเป็นยทเรียนสำคัญในชีวิต?
“ใช่ครับ ถูกต้องครับมันเป็นบทเรียนราคาแพงและเป็นบทเรียนที่สำคัญเป็นสิ่งที่มีค่าในชีวิตผมด้วยนะไม่งั้นผมก็คงรักษาชีวิตไว้ไม่ได้หรอกเรือนจำมันก็เปลี่ยนให้ผมเป็นผมในทุกวันนี้ก็ต้องขอบคุณเรือนจำด้วย”
อยากฝากอะไรถึงน้องๆเยาวชนที่อาจจะหลงผิดหรือคิดจะเดินในเส้นทางนี้?
“ ก็ต้องระวังในเรื่องของการใช้ชีวิตนะสมัยก่อนที่ผมอยู่มันก็อันตรายและสมัยนี้มันยิ่งอันตรายเข้าไปใหญ่ คนที่เขาเห็นแก่ตัวหรือว่าหาผลประโยชน์จากเรามันเยอะ ทีนี้ก็ต้องระวังแล้วล่ะการใช้ชีวิตต้องปรึกษาผู้ใหญ่ บางทีด้วยความที่เราอายุยังน้อยประสบการณ์ชีวิตยังน้อย อาจจะมองปัญหาหรือมองผู้คนไม่แตกฉาน ไม่เคลียร์เพราะฉะนั้นต้องปรึกษาญาติพี่น้องหรือแม้กระทั่งพ่อแม่ครอบครัวเรา ผมว่าพวกคนเหล่านี้คือบุคคลที่หวังดีกับเราที่สุดและรักเราที่สุดและผมเชื่อว่าก็จะได้คำตอบที่ดีที่สุดจากพวกเขาด้วย หันมาปรึกษาครอบครัวและอย่าเขินอายเลยเพราะว่าผมเคยเป็นเด็กที่ไม่ค่อยพูด พูดน้อย ไม่กล้าปรึกษาปัญหาอะไรกับใครและเก็บมาเรื่อยๆมาคิดเอง ตัดสินใจเองมาโดยตลอด สุดท้ายมันก็ผิดพลาด พอผิดพลาดมันก็เลยเถิดมาเรื่อยๆจนชีวิตมันก็พังไปมันก็ต้องกล้าคุยกล้าปรึกษานะเพราะว่าถ้าปัญหามันเกิดมันไม่คุ้มค่า”
จากบทเรียนนี้มันทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับครอบครัวแน่นแฟ้นขึ้นมากไหม?
“ มากครับ คือเรียกว่าหน้ามือหลังมือเลยดีกว่าเพราะตอนเด็กผมเป็นเด็กที่พยายามที่จะหาทุกทางที่ห่างไกลครอบครัว เพราะผมรู้สึกอึดอัด ผมเป็นเด็กที่ไม่ชอบอยู่กับคนเยอะๆ มีโลกส่วนตัวสูงและไม่ชอบให้ใครมาถามอะไรมาก ผมขี้เกียจตอบ เพราะเรารู้สึกว่าเราเหนื่อยในการที่จะตอบเหมือนเราตอบคนนี้แล้ว เดี๋ยวอีกคนก็ต้องมาถามเราก็ต้องตอบคำเดิม เราก็เลยคิดว่าถ้าไม่อยากตอบจะทำยังไง จะพูดไปก็เดี๋ยวกลัวเสียน้ำใจ ก็เลยหนีออกมาดีกว่า หนีมาเรื่อยๆจนเข้าไปอยู่ในเรือนจำ แต่พอเราโตขึ้น เราก็มองว่ามันเป็นเรื่องของความห่วงใย เป็นเรื่องของสายสัมพันธ์ในครอบครัวที่มันควรจะมี มันมองเห็นนะพออยู่ข้างในมันชัดเจน วันที่เราลำบาก วันที่เราอยู่จุดต่ำสุด ครอบครัว พ่อแม่เราก็คือที่สุดแล้วคนที่รักเราที่สุด พร้อมที่จะรักเราอย่างไม่มีข้อแม้ใดใด”
ถ้าย้อนเวลากลับไป เราอยากจะกลับไปแก้อะไรในอดีตของเราไหม?
“ ผมว่าจุดหนึ่งที่สำคัญที่พลิกผันชีวิตผมคือเรื่องการไม่ไปปรึกษาหรือขอความช่วยเหลือจากใครเวลาผมมีปัญหาอีโก้เยอะและเชื่อมั่นในตัวเองสูงถ้าวันนึงเกิดปัญหาก็แก้ไขด้วยตัวเอง ไม่กลับไปบอกครอบครัว ผมเชื่อวันนั้นที่ผมมีปัญหาและถ้าผมเอ่ยกับใครทุกคนในครอบครัวเขายินดีที่จะยื่นมือช่วยเหลือผมตลอดเลย เพียงแต่เราฟอร์มเยอะไง อีโก้เยอะ ลูกผู้ชายด้วย และออกมาแล้วหาตังค์ได้ตั้งแต่เด็ก มีงานมีเงิน แล้วพอมันมีปัญหาก็กลัวเขาจะมองอย่างนั้นอย่างนี้ มันเป็นเรื่องของการยึดติด เราต้องปลงต้องปล่อย”
ในตอนนั้นกับภาวะปัญหา และคำด่าทอที่อาจจะส่งผลมาถึงเรา ในตอนนั้นเราคิดหรือรู้สึกอย่างไร?
“ คือมันก็เป็นสิ่งที่ต้องเจออยู่แล้วนะเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นมา แม้ว่าเขาจะอาจจะไม่ได้รู้ความจริง ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก แต่เราก็ไปโทษเขาไม่ได้หรอก ทุกคนมีสิทธิ์คิดและเราก็ไปทำจริงๆมันก็ต้องยอมรับไป ยอมรับชะตากรรมและพยายามชดใช้ในสิ่งที่เราท รรวมถึงเราก็ต้องเรียนรู้กับมันในการแก้ไขและเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ เพราะฉะนั้นมันก็คือการเรียนรู้และชีวิตเนอะมันก็มีทั้งช่วงที่ดีและช่วงที่ไม่ดีในชีวิต มันก็เป็นธรรมดาของมนุษย์ก็อดทนไปสู้กันไปครับ”
ถามถึงเรื่องแพลนครอบครัวของเราบ้าง คิดจะมีแฟนไหม?
“ เรื่องแต่งงานอะไรแบบนี้หรอ มันยังเป็นเรื่องค่อนข้างไกลตัวสำหรับผมในตอนนี้นะ เพราะว่ามันยังมีอีกเยอะมากที่ผมอยากจะทำคือตั้งแต่อยู่ข้างในนั้นมันเหมือนอยากทำเยอะมาก มันอั้นอ่ะและเรื่องครอบครัวน่าจะเป็นเรื่องท้ายๆเลยมั้งเพราะว่ายังไม่มีความคิดนี้เลย แต่ผมไม่ได้มีสเปกบอกเลย เพราะว่าผมว่าผู้หญิงแต่ละคนเขามีเสน่ห์ต่างกันนะ และผมไม่ได้มองแค่รูปลักษณ์ภายนอก เรื่องของการวางตัว ความคิด คำพูดอะไรต่างๆ ทัศนคติในการมองโลกก็สำคัญ อีกส่วนหนึ่งในการที่ผมจะมองผู้หญิงและที่สำคัญก็ต้องเข้าใจในตัวเรา เข้าใจในงานของเราด้วยเพราะบางทีงานของเรามันเอาแน่เอานอนไม่ได้มันก็ต้องเข้าใจนะครับ และอีกอย่างหนึ่งเรามีครอบครัวที่ต้องดูแลและให้เวลากับเขามากๆเพราะว่าเขารอเรามานานมากแล้ว ถึงวันนี้เราก็ต้องชดเชยให้เขาครับ”