ถ้าพูดถึงหนึ่งในหนังที่เข้าฉายในโรงมาสักพัก แต่กลับไม่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีเท่าที่ควร แม้ว่าหลายคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหนังสนุกและสามารถทำออกมาได้ดี หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ The Flash อย่างแน่นอน
เพราะแม้ว่าจะเป็นฮีโร่ค่าย DC ที่หลายคนรอให้ทำหนังเดี่ยวเป็นของตัวเอง อีกทั้งยังมีการนำนักแสดงเก่า ๆ ออกมาเซอร์ไพรส์ แต่เพราะปัญหาเกี่ยวกับนักแสดงหลัก ทำให้ปัจจุบันหนังทำรายได้ไปเพียง $260 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง $290 ล้านเหรียญ
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้เราไม่ได้จะมาพูดถึงความล้มเหลวของหนัง แต่จะมาพูดถึงหนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจอย่าง “การย้อนเวลา” ที่ตัวละครหลักอย่างเดอะแฟลชพยายามทำเพื่อแก้ไขความผิดพลาดในอดีต
และนอกเหนือจากเดอะแฟลช ในโลกภาพยนตร์ก็ยังมีการถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับการย้อนเวลาให้เห็นอยู่ไม่น้อย
มนุษย์เราสามารถย้อนเวลาได้จริง ๆ มั้ย? และจำเป็นจะต้องใช้ความเร็วเท่าไหร่? ลำพังแค่ความเร็วจะสามารถทำได้มั้ย? ในวันนี้ เราจะมาพูดถึงการย้อนเวลาและโอกาสที่จะเป็นไปได้กัน!
การย้อนเวลา
ถ้าพูดถึงการย้อนเวลา หลายคนก็คงจะคุ้นชินกับเรื่องเหล่านี้ นั่นเพราะในหนังหรือแม้แต่การ์ตูนที่เราดูกันมาตั้งแต่เด็กอย่างโดราเอม่อน ก็มีการใช้ไทม์แมชชีนย้อนเวลาให้เห็นอยู่แทบจะทุกตอน
ซึ่งในโลกของความเป็นจริงนักวิทยาศาสตร์ได้มีการศึกษาเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องและจริงจัง จนได้เกิดเป็นทฤษฎีที่น่าสนใจขึ้นมา ดังนี้
ทฤษฎีสัมพัทธภาพที่คิดค้นโดยไอน์สไตน์
สำหรับทฤษฎีแรก เป็นทฤษฎีอันเลื่องชื่อของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลก โดยในปี 1915 เขาได้คิดทฤษฎีซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการคำนวณความสัมพันธ์ระหว่างเวลา ความเร็ว และแสง
ซึ่งเป็นการเสนอว่าการเดินทางด้วยความเร็วแสงที่มีค่าประมาณ 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที หรือความเร็วที่สามารถเดินทางรอบโลกได้ 7 รอบ ใน 1 วินาที จะทำให้เวลาที่เราวัดได้นั้นเปลี่ยนไป
หรือโดยพื้นฐานแล้ว ทฤษฎีนี้หมายความว่า เวลาในแต่ละสถานที่ หรือบนดาวแต่ละดวง ถ้าความเร็วสัมพัทธ์ หรือความเร็วที่เปรียบเทียบระหว่าง 2 สถานที่นั้นมีค่าต่างกัน การวัดเวลาเปรียบเทียบก็จะมีค่าไม่เหมือนกัน และความเร็วในการเคลื่อนที่นี้ยังแปรผันตรง หรือเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกันกับความต่างของเวลาอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ จึงมีการตั้งสมมติฐานว่า มนุษย์อาจจะสามารถเดินทางย้อนเวลาได้ ด้วยการเคลื่อนที่บนยาน ซึ่งมีความเร็วมากกว่าแสง หรือเรายังสามารถย่นระยะเวลาให้ช้าลงได้ หากเราสามารถเดินทางในความเร็วที่ใกล้เคียงกับความเร็วแสงได้เช่นกัน
ซึ่งสิ่งนี้เอง คือพลังของเดอะแฟลช ที่ทำให้เขาสามารถเดินทางย้อนเวลาได้ จากการที่เขาได้รับพลังของสปีดฟอร์ซ ทำให้ความเร็วของเขามากกว่าแสง โดยเขาสามารถวิ่งได้ด้วยความเร็ว 600 ล้านไมล์ต่อชั่วโมง
อย่างไรก็ตามสำหรับมนุษย์ที่ไม่ได้มีพลังเหมือนเดอะแฟลช ปัจจัยสำคัญคือจะต้องมีเครื่องยนต์ที่ทำให้ยานพาหนะสามารถเดินทางถึงความเร็วแสงได้ และต้องไม่ถูกทำลายจากการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วขนาดนั้น ซึ่งเป็นโจทย์ที่ยากมากสำหรับมนุษย์ในปัจจุบัน
ทฤษฎีรูหนอน
ถัดมาคือ ทฤษฎีรูหนอน ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ต่อยอดจากทฤษฎีสัมพัทธภาพ ทั้งยังมีการต่อยอดจนถึงปัจจุบัน พื้นฐานของทฤษฎีนี้ก็คือการบอกว่า จุดบนจักรวาล 2 จุด สามารถเดินทางเชื่อมต่อกันผ่าน “รู” ที่เชื่อม 2 จุดนี้ เข้าหากันในลักษณะที่คล้ายกับการพับกระดาษแล้วแทงดินสอเชื่อมเข้าหากัน ดินสอนี้ก็คือรูหนอนที่ใช้เดินทางข้ามเวลา อย่างไรก็ตาม การสร้างรูหนอนก็ยังมีอุปสรรค และยากจะเกิดขึ้นจริงเช่นเดียวกัน
การย้อนเวลากับความเป็นจริง
จะเห็นได้ว่าจากความเป็นจริงในปัจจุบัน มนุษย์เรายังไม่สามารถที่จะย้อนเวลาได้ นั่นเพราะเทคโนโลยีในปัจจุบันยังไม่เพียงพอจะสร้างยานพาหนะที่จะทำให้มนุษย์เคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสงได้ โดยที่ร่างกายไม่ถูกทำลายเพราะความเร็วขนาดนั้น
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของความขัดแย้งเกี่ยวกับเหตุและผล ในเรื่องที่ว่าถ้าเราสามารถย้อนเวลาไปยังอดีตได้จริงและทำการเปลี่ยนแปลงอดีต แล้วปัจจุบันที่เราจากมาจะเปลี่ยนไปอย่างไร
ซึ่งเรื่องนี้ก็เกิดเป็นอีกประเด็นที่น่าสนใจ อย่างการย้อนเวลา จะสามารถทำให้เกิดโลกคู่ขนานได้จริงหรือไม่ และจะเป็นอย่างไร
การย้อนเวลากับโลกคู่ขนาน
สำหรับโลกคู่ขนาน หรือที่เราเรียกกันว่ามัลติเวิร์ส มีทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจ อย่างทฤษฎีที่ชื่อว่า “โลกคู่ขนานของกลศาสตร์ควอนตัม” ซึ่งเป็นการคาดเดาการมีอยู่ของเส้นเวลา หรือไทม์ไลน์ที่แตกแขนงกันออกไป
ความเป็นจริงคู่ขนานที่การตัดสินใจของเราดำเนินไปอย่างแตกต่าง และบางครั้งการตัดสินใจเหล่านั้นก็สร้างผลกระทบที่แตกต่างออกไปอย่างสุดขั้ว
จากทฤษฎีนี้ อาจมีตัวเราอยู่หลายคน ซึ่งมีหนทางชีวิตที่อาจแตกต่างกันออกไปหากเราเลือกการตัดสินใจแบบอื่น กระนั้น ความเป็นจริงหนึ่งเดียวที่เราสามารถรับรู้ได้คือความเป็นจริงที่ตัวเราอาศัยอยู่เท่านั้น
ในหนังเรื่อง The Flash ก็จะเห็นได้ว่าตัวละครหลักอย่าง แบรี่ อัลเลน มีความพยายามที่จะย้อนเวลาเพื่อกลับไปแก้ไขอดีต ซึ่งนั่นทำให้เขาได้พบกับตัวเขาในอดีต นอกจากนี้แบทแมนที่เขารู้จักก็ยังเปลี่ยนไปเป็นอีกคน
ผลจากการแก้ไขอดีตของเขา ก่อให้เกิดผลตามมามากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการที่ทำให้ตัวเขาในอดีตมีพลังเดอะแฟลชเช่นเดียวกับเขา และทำให้ตัวเขาเองสูญเสียพลังไป เรียกได้ว่าเป็นอีกไทม์ไลน์หนึ่งที่เกิดขึ้น และแม้ว่าเขาจะย้อนกลับมายังปัจจุบัน ผลจากการตัดสินใจก็ยังตามเขามาอยู่ดี
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า การย้อนเวลามีความเป็นไปได้ที่จะก่อให้เกิดไทม์ไลน์ใหม่ ๆ ขึ้นมา จากการที่เอกภพของเราเป็นเพียง “หนึ่งในบรรดาเอกภพ” มากมายที่แตกต่างออกไป โดยเราอาศัยอยู่ในเอกภพที่ดีและสะดวกสบาย การย้อนเวลาอาจทำให้เราหลงเข้าไปในอีกเอกภพก็เป็นได้
ถ้าคนเราสามารถย้อนเวลาได้จริง?
เชื่อว่าการย้อนเวลา เป็นหนึ่งในสิ่งที่มนุษย์โหยหามากที่สุด นั่นเพราะหลายคนต้องการจะแก้ไขสิ่งผิดพลาดในอดีต
และถ้าในวันหนึ่งเทคโนโลยีของมนุษย์พัฒนาไปจนถึงจุดที่สามารถเดินทางข้ามเวลาได้ หลายคนก็คงมีเรื่องที่อยากจะกลับไปแก้ไขอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม หากการย้อนเวลาเกิดขึ้นจริง เราก็คงจะต้องมีกฎและข้อห้ามสำหรับนักท่องเวลา อาทิเช่น การย้อนไปเพื่อศึกษา แต่ไม่เปลี่ยนแปลงอดีต นั่นเพราะการย้อนเวลาเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน การกระทำเพียงเล็กน้อยอาจส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ใหญ่ ราวกับทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก
หากทุกคนย้อนเวลาไปแก้ไขอะไรต่าง ๆ ตามอำเภอใจ เผลอ ๆ อาจจะมีคนไปลงมือฆ่าฮิตเลอร์ หรือย้อนกลับไปแทรกแซงเหตุการณ์สำคัญในอดีตก็ได้
ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจริง ๆ ก็อาจจะคล้ายกับหนังเรื่อง A Sound of Thunder ที่เป็นเรื่องราวของโลกในอนาคต ที่มนุษย์คิดค้นเครื่องเดินทางย้อนเวลาได้ คนมีเงินจึงพากันย้อนไปเที่ยวในยุคต่าง ๆ มากมาย และยุคที่คนนิยมไปมากที่สุดก็คือ “ยุคไดโนเสาร์” แน่นอนว่าการจะย้อนไปต้องมีการปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด แต่แล้วกลับมีคนที่ไปทำให้ผีเสื้อในอดีตตาย จนส่งผลถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดที่กล่าวมายังเป็นเพียงคำว่า “ถ้า” เท่านั้น เพราะในปัจจุบัน มนุษย์ก็ยังไม่สามารถย้อนเวลาได้อยู่ดี
สุดท้ายนี้ การย้อนเวลาก็ยังเป็นเรื่องที่มนุษย์ยังไม่สามารถทำได้จริงในปัจจุบัน ซึ่งถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถย้อนเวลาไปแก้ไขอดีตได้ แต่เราก็สามารถที่จะเรียนรู้ในการอยู่กับปัจจุบัน เพื่อทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว เราไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ในอดีต สิ่งที่ทำได้คือนำสิ่งที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาเป็นบทเรียนไม่ให้มันเกิดซ้ำอีก อย่ากระทำสิ่งที่จะสร้างรอยแผลให้กับผู้อื่น ทำสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ตอนนี้ให้เต็มที่ เพื่อที่จะไม่ได้รู้สึกอยากกลับไปแก้ไขมันทีหลัง
อย่างที่ตัวแบรี่ อัลเลน เลือกที่จะไม่แก้ไขอดีต และทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้ว่ามันจะทำให้เขาต้องเสียใจก็ตาม
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก