Home
|
ไลฟ์สไตล์

รวม 9 ข้อเกี่ยวกับ “เลย์วี” ไวรัสชนิดใหม่ที่กำลังระบาดในจีน

Featured Image

          หลายสำนักข่าวเริ่มรายงานผลกับไวรัสชนิดใหม่ “เลย์วี” ที่นักวิทศาสตร์จีนกำลังเร่งจับตาในขณะนี้ หลังพบผู้ติดเชื้อแล้ว 35 ราย เชื้อไวรัสนี้จะน่ากลัวไหม และจะเป็น‘ไม้ต่อ’จากโควิดหรือไม่ วันนี้เราสรุปข้อมูลเท่าที่มีแล้วใน 9 ข้อ

  1. ไวรัสลางยาเฮนิปาห์ (Langya henipavirus) หรือไวรัสเลย์วี (LayV) จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับ ไวรัสนิปาห์ ที่เคยระบาดในอินเดียเมื่อปี 2561 ซึ่งเป็นไวรัสที่ติดจาสัตว์สู่คน
  2. ทางการจีนค้นพบผู้ติดเชื้อ เลย์วี ครั้งแรกที่มณฑลซานตง ในช่วงก่อนเดือนมกราคม 2562 ก่อนที่จะพบเพิ่มอีก 14 ราย แต่ต้องหยุดวิจัยชั่วคราวเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
  3. ก่อนที่ปัจจุบันจะพบว่ามีผู้ติดเชื้อสะสมแล้วกว่า 35 ราย ในมณฑลซานตงและมณฑลเหอหนาน ซึ่งอยู่คนละภูมิภาคของจีน จึงนำมาซึ่งข้อสงสัยว่าทำไมถึงเกิดพร้อมกันทีเดียวสองเมือง
  4. คาดว่าผู้ติดเชื้อ เลย์วี ติดมาจาก หนูผี (Shrew) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตระกูลตุ่นที่มีลักษณะคล้ายหนู เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรมีประวัติสัมผัสกับสัตว์
  5. แต่ขณะเดียวกันก็พบว่าไวรัสชนิดนี้ยังพบใน แพะ 2% และสุนัขท้องถิ่น 5% อีกด้วย
  6. ในปัจจุบันแพทย์ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเชื้อไวรัสเลย์วีสามารถติดจากคนสู่คนได้หรือไม่
  7. อาการของผู้ป่วยที่ติดเชื้อเลย์วี จะมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ เป็นไข้ ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร แต่ยังไม่พบรายงานผู้เสียชีวิต
  8. ขณะนี้ ยังไม่มีวัคซีนป้องกันและยังไม่มียารักษาเฉพาะ ผู้ติดเชื้อจะได้รับการรักษาตามอาการเท่านั้น
  9. สาเหตุการพบเชื้อไวรัสจากสัตว์สู่คนที่มีมากขึ้นในช่วงนี้ องค์การสหประชาชาติ เคยออกมาเตือนแล้วว่าโลกจะพบกับการแพร่ระบาดของโรคที่เกิดจากไวรัสที่มีต้นกำเนิดจากสัตว์มากขึ้น เนื่องจากการบุกรุกป่าและปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์

          โดยหลังจากนี้ต่อไป บนหน้าข่าวอาจได้เห็นรายงานพบไวรัสแปลกๆมากขึ้นต่อเนื่อง ไปพร้อมกับการหาความจริงของเชื้อไวรัส เลย์วี ที่หลายตากำลังจับมองใต้หน้ากากอนามัยอีกไม่รู้กี่ชั้น

ติดตามเรื่องราวสุขภาพและเคล็ดลับป้องกันโรคอันตรายต่อได้ที่ iNN Lifestyle

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

ขอบคุณข้อมูลจาก

BBC.com

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube