อีกหนึ่งอาชีพสุดฮิตที่คนไทยนิยมทำกันมากที่สุด คือการค้าขาย โดยเฉพาะการขายของที่ต้องส่งของต่างประเทศ ซึ่งเป็นการขยายกลุ่มลูกค้าให้กว้างขึ้น ช่วยให้รับรายได้ที่มากขึ้นตาม แต่สำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ ที่เพิ่มมีลูกค้าจากต่างประเทศ สั่งสินค้าเข้ามา แต่ยังไม่รู้การส่งของต่างประเทศต้องทำยัง ตามมาดูได้ในบทความนี้
การส่งของต่างประเทศ เป็นบริการที่ช่วยให้สามารถส่งของไปยังประเทศอื่นได้ ในปัจจุบันมีบริการส่งของไปต่างประเทศให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณของผู้ส่ง
ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการส่งของต่างประเทศ
- น้ำหนักและขนาดของสิ่งของ น้ำหนักและขนาดของสิ่งของมีผลต่อค่าขนส่ง
- ประเภทของสิ่งของ ประเภทของสิ่งของมีผลต่อเงื่อนไขการขนส่ง เช่น สิ่งของบางประเภทอาจต้องบรรจุหีบห่ออย่างระมัดระวัง หรือห้ามนำสิ่งของบางอย่างขึ้นเครื่องบิน
- ประเทศปลายทาง ประเทศปลายทางมีผลต่อระยะเวลาการจัดส่งและค่าขนส่ง
- บริการเสริม บริการเสริม เช่น ประกันสินค้า การติดตามสถานะการจัดส่ง อาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม
ขั้นตอนการส่งของต่างประเทศสำหรับผู้ประกอบการมือใหม่
- เลือกบริษัทขนส่ง การเลือกบริษัทขนส่งควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ค่าใช้จ่าย ระยะเวลาการจัดส่ง บริการหลังการขาย
- แพ็คพัสดุ พัสดุควรบรรจุอย่างแน่นหนาเพื่อป้องกันความเสียหายระหว่างการขนส่ง วัสดุที่ใช้แพ็คพัสดุอาจได้แก่ กระดาษแข็ง พลาสติกกันกระแทก เทปพันกล่อง เป็นต้น
- กรอกใบตราส่งสินค้า ใบตราส่งสินค้า (Bill of Lading) เป็นเอกสารสำคัญในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ใบตราส่งสินค้าควรระบุรายละเอียดต่างๆ เช่น ชื่อผู้ส่ง ชื่อผู้รับ ที่อยู่ผู้ส่ง ที่อยู่ผู้รับ น้ำหนักสินค้า ปริมาณสินค้า มูลค่าสินค้า เป็นต้น
- ชำระค่าขนส่ง ค่าขนส่งอาจคิดตามน้ำหนักหรือปริมาตรของสินค้า ระยะเวลาการจัดส่ง และบริษัทขนส่ง
- นำพัสดุไปส่งที่บริษัทขนส่ง เมื่อพัสดุพร้อมแล้ว ให้นำพัสดุไปส่งที่บริษัทขนส่งที่เลือกไว้
เมื่อส่งของต่างประเทศแล้ว ผู้ส่งจะได้รับหมายเลขติดตามสถานะการจัดส่ง (Tracking Number) ซึ่งสามารถใช้ติดตามสถานะการจัดส่งของสิ่งของได้ทางเว็บไซต์ของบริษัทผู้ให้บริการ
สิ่งที่ควรรู้ก่อนการส่งของไปต่างประเทศ
การส่งของต่างประเทศอาจต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ เช่น สินค้าสูญหายหรือเสียหายระหว่างการขนส่ง สินค้าถูกยึดหรือปฏิเสธนำเข้า เป็นต้น ผู้ส่งควรตรวจสอบข้อมูลและเงื่อนไขการขนส่งอย่างละเอียดก่อนส่งของไปต่างประเทศ
- ตรวจสอบข้อกำหนดและเงื่อนไขการขนส่ง เพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าสามารถขนส่งได้โดยไม่มีปัญหา เพราะในแต่ละประเทศอาจมีข้อกำหนดและเงื่อนไขการนำเข้าที่แตกต่างกัน
- แพ็คพัสดุอย่างแน่นหนาเพื่อป้องกันความเสียหายระหว่างการขนส่ง โดยวัสดุที่ใช้แพ็คพัสดุควรเลือกกระดาษแข็ง พลาสติกกันกระแทก เทปพันกล่อง เป็นต้น ไม่ควรบรรจุสินค้าที่มีความเปราะบางหรือเสียหายง่ายไว้ในกล่องพัสดุเพียงอย่างเดียว
- การซื้อประกันสินค้าจะช่วยคุ้มครองผู้ส่งในกรณีสินค้าสูญหายหรือเสียหายระหว่างการขนส่งได้
- ผู้ส่งสามารถติดตามสถานะการจัดส่งพัสดุได้ทางเว็บไซต์ของบริษัทขนส่ง โดยข้อมูลเกี่ยวกับสถานะการจัดส่งพัสดุอาจรวมถึงวันที่และเวลาที่พัสดุถูกรับ สถานะการขนส่ง และวันที่และเวลาที่คาดว่าพัสดุจะถึงปลายทาง
อีกหนึ่งข้อสำคัญเลยคือ ควรเลือกบริษัทขนส่งที่น่าเชื่อถือ มีประวัติการขนส่งที่ดี และให้บริการหลังการขายที่ดี หากมีปัญหาเกิดขึ้นระหว่างการขนส่ง บริษัทขนส่งควรสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ