แนวทางการเลือกซื้อที่นอน ที่จะช่วยทำให้หลับสบายมากขึ้น!!
เราเชื่อว่ามีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ แลในยามตื่นตอนเช้ารู้สึกไม่สดชื่น ปวดเมื่อย หรือรู้สึกเหมือนกับว่าเมื่อคืนที่ผ่านมานั้นนอนหลับไม่เต็มอิ่ม ซึ่งแน่นอนว่ามีหลายปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อการนอนที่อาจทำให้เกิดอาการเหล่านี้ แต่หนึ่งในปัจจัยที่ใครหลายคนมักจะมองข้าม ก็คือ ที่นอน รู้หรือไม่ว่าที่นอนนั้นมีผลต่อการนอนของเราอย่างมาก คุณภาพการนอนที่ดีอาจขึ้นอยู่กับการเลือกที่นอน ดังนั้นหากต้องการจะเลือกซื้อที่นอนจะต้องใส่ใจในการเลือกมากทีเดียว
ที่นอนมีกี่ประเภท?
ก่อนที่จะเลือกซื้อที่นอน เราอยากแนะนำให้คุณผู้อ่านทำความเข้าใจถึงความแตกต่างของที่นอนแต่ละประเภทกันก่อน เนื่องจากที่นอนเองก็เป็นหนึ่งในเฟอร์นิเจอร์ที่มีให้เลือกด้วยกันหลายแบบ และมีการนำเอาวัสดุที่มีความแตกต่างกันมาใช้ ซึ่งวัสดุต่างๆ ที่นำเอามาใช้ทำที่นอนเหล่านี้ล้วนมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไปด้วย จึงทำให้ที่นอนที่เราใช้ในการนอนส่งผลต่อคุณภาพของการนอนหลับของเราในยามค่ำคืน โดยเราได้รวบรวมที่นอน 4 ประเภท ที่มักพบเห็นบ่อยมาเป็นแนวทางการเลือกดังนี้
1. ที่นอนยางพารา
ที่นอนประเภทนี้ เป็นที่นอนที่ทำมาจากน้ำยางพารา มีความยืดหยุ่นสูง โดยเนื้อของที่นอนยางพารานั้นจะมีการยึดตัวกันเหนี่ยวแน่น ทำให้ที่นอนยางพารานี้ไม่สามารถที่จะยุบตัวได้ง่าย มีคุณสมบัติทนต่อแรงกดทับ และด้วยลักษณะที่มีรูเล็กๆ เป็นจำนวนมาก ทำให้ที่นอนยางพาราไม่กักเก็บฝุ่นและความชื้น
- ข้อดีของที่นอนยางพารา : ช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง, รับแรงกดทับได้มาก, ระบายอากาศได้ดี, ไม่กักเก็บฝุ่น และรองรับสรีระผู้นอนได้ดี
- ข้อเสียของที่นอนยางพารา : มีน้ำหนักมาก, ราคาค่อนข้างสูง
2. ที่นอนฟองน้ำอัด
เป็นที่นอนที่มีกระบวนการผลิตโดยการนำเอาฟองน้ำมาบดเป็นชิ้นเล็กๆ และนำเอามาอัดให้แน่นจนกลายเป็นที่นอน เป็นหนึ่งในประเภทของที่นอนที่ค่อนข้างได้รับความนิยม โดยที่นอนประเภทนี้จะมีความยืดหยุ่นต่ำ
- ข้อดีของที่นอนฟองน้ำอัด : เนื้อสัมผัสแน่นพอดีเหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบนอนที่นอนนิ่มจนเกินไป, มีน้ำหนักเบา, ทำความสะอาดง่าย, ราคาไม่สูง
- ข้อเสียของที่นอนฟองน้ำอัด : ก่อให้เกิดความชื้นได้ง่าย, หากใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานอาจเกิดการยุบตัว และทำให้เกิดอาการปวดหลังตามมา
3. ที่นอนสปริง
ที่นอนสปริงเป็นที่นอนที่มีความยืดหยุ่นค่อนข้างสูง สามารถที่จะยุบคืนตัวได้ดี และที่สำคัญจะให้ความรู้สึกนุ่มเด้ง โดยที่นอนสปริงนั้นจะมีให้เลือกหลายแบบ อาทิเช่น ที่นอนสปริงแบบบอนแนลล์, ที่นอนสปริงแบบออฟเซ็ท และที่นอนสปริงแบบพ็อกเก็ต
- ข้อดีของที่นอนสปริง : รองรับน้ำหนักได้ดี, มีความยืดหยุ่นสูง, น้ำหนักเบา, ราคาไม่สูง
- ข้อเสียของที่นอนสปริง : หากใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานอาจเกิดการยุบตัวของสปริง และทำให้เกิดเสียงรบกวนในตอนนอนได้
4. ที่นอนใยมะพร้าว
สำหรับที่นอนใยมะพร้าว จะเป็นที่นอนที่มีกระบวนการผลิตโดยการใช้กากใยมะพร้าวและกาวนำเอามาขึ้นรูป จากนั้นจึงทำการอัดให้แน่นจนกลายเป็นที่นอน ซึ่งที่นอนใยมะพร้าวจะเป็นที่นอนที่มีความหนาแน่นสูง และมีผิวสัมผัสที่แข็งกระด้าง
- ข้อดีของที่นอนใยมะพร้าว : มีความแข็งแรง, ยุบตัวยาก, น้ำหนักเบา
- ข้อเสียของที่นอนใยมะพร้าว : ไม่มีช่องระบายอากาศส่งผลให้เป็นที่สะสมไรฝุ่น, หากใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานจนเสื่อมสภาพ ใยมะพร้าวข้างในจะหลุดออกมาและอาจทิ่มตามตัวได้
5. ที่นอนเมมโมรี่โฟม
ที่นอนเมมโมรี่โฟม คือที่นอนที่ทำจากวัสดุโพลียูรีเทนที่มีโครงสร้างเซลล์ปิด มีคุณสมบัติในการจดจำแรงกดทับและคืนตัวช้าๆ จึงสามารถโอบรับสรีระของผู้นอนได้เป็นอย่างดี ช่วยลดแรงกดทับและอาการปวดเมื่อยต่างๆ ได้ดี
- ข้อดีของที่นอนเมมโมรี่โฟม : รองรับน้ำหนักได้มาก, ปรับรูปทรงตามสรีระผู้ใช้งาน, ลดอาการปวดหรือกดทับของร่างกาย
- ข้อเสียของที่นอนเมมโมรี่โฟม : มีน้ำหนักมากกว่าที่นอนชนิดอื่นๆ สะสมความร้อนได้มากกว่า และมีราคาสูงเมื่อเทียบกับที่นอนทั่วไป
6. ที่นอนไฮบริด
ที่นอนไฮบริด คือที่นอนที่ผสมผสานวัสดุระหว่าง สปริง โฟม และยางพารา เพื่อช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพของที่นอนให้ดีขึ้น โดยสปริงจะทำหน้าที่รองรับน้ำหนักส่วนโฟมจะทำหน้าที่กระจายแรงกดทับ และยางพาราจะทำหน้าที่รองรับสรีระ
- ข้อดีของที่นอนไฮบริด : รองรับน้ำหนักได้มาก ช่วยลดแรงกดทับของร่างกาย มีความยืดหยุ่นสูง
- ข้อเสียของที่นอนไฮบริด : มีน้ำหนักมากกว่าที่นอนชนิดอื่นๆ และมีราคาสูง
7. ที่นอนเย็น
ที่นอนเย็น คือที่นอนที่มีคุณสมบัติในการระบายอากาศได้ดีเยี่ยม ทำให้ที่นอนไม่อมความร้อน ส่งผลให้สัมผัสเย็นสบายกว่าที่นอนทั่วไป โดยที่นอนเย็นอาจใช้วัสดุต่างๆ เช่น ใยสังเคราะห์ที่มีคุณสมบัติในการระบายอากาศได้ดี หรือเจลเย็นที่ช่วยดูดซับความร้อนออกจากร่างกาย
- ข้อดีของที่นอนเย็น : ลดอาการปวดเมื่อยโดยเฉพาะคอและหลัง ช่วยประหยัดพลังงานลดการใช้แอร์ได้มากกว่า
- ข้อเสียของที่นอนเย็น : ราคาสูงกว่าที่นอนทั่วไปและต้องดูแลเป็นพิเศษ
การดูแลรักษาและทำความสะอาดที่นอน
การดูแลรักษาที่นอนอย่างถูกวิธีและดูแลเรื่องสุขอนามัยอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยยืดอายุการใช้งานที่นอนให้ยาวนานขึ้น และทำให้คุณนอนหลับสบายทุกคืน คุณสามารถดูแลได้ด้วยวิธีดังนี้
- พลิกกลับด้านที่นอนและสลับหัวท้ายทุก ๆ 3-6 เดือน เพื่อกระจายแรงกดทับที่สม่ำเสมอ
- ใช้ผ้าคลุมกันเปื้อนปูที่นอน เพื่อป้องกันการเกิดคราบสกปรก และช่วยป้องกันไรฝุ่นและเชื้อโรค
- ดูดฝุ่นที่นอนอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อกำจัดไรฝุ่นและฝุ่นละออง
- เปิดหน้าต่างห้องนอนให้อากาศถ่ายเทได้ดี เพื่อช่วยให้ที่นอนแห้งและระบายอากาศได้
- ไม่ควรใช้น้ำในการทำความสะอาดที่นอน เพราะเสี่ยงทำให้เกิดเชื้อราได้
- หากที่นอนมีคราบสกปรก ให้ใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดออก แล้วซับให้แห้งทันที
- หากที่นอนมีคราบที่รุนแรง เช่น คราบเลือด คราบปัสสาวะ ให้ใช้น้ำยาทำความสะอาดที่นอนโดยเฉพาะ ตามคำแนะนำบนฉลากผลิตภัณฑ์
- ไม่ควรนำที่นอนไปตากแดดเป็นเวลานาน เนื่องจากอาจทำให้ที่นอนเสื่อมสภาพได้
- ไม่ควรนำสัตว์เลี้ยงขึ้นไปนอนบนที่นอน เนื่องจากอาจทำให้ที่นอนสกปรก และเป็นแหล่งสะสมของไรฝุ่นและเชื้อโรค
สรุปบทความ
และทั้งหมดนี้ คือ ความแตกต่างของที่นอนแต่ละประเภทแต่ละชนิด รวมไปถึงข้อดีและข้อเสีย ที่ทางเว็บไซต์ของเราได้รวบรวมนำเอามาเป็นข้อมูลให้แก่ผู้อ่านที่กำลังมีความต้องการที่จะซื้อที่นอน ซึ่งคุณผู้อ่านสามารถที่จะนำเอาข้อมูลเหล่านี้ไปเปรียบเทียบและประกอบการตัดสินใจก่อนเลือกซื้อที่นอนได้ และอย่างที่เราได้มีการเกริ่นไปแล้วในตอนต้นว่า ที่นอนเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพของการนอน เพราะฉะนั้นอย่าลืมที่จะใส่ใจและพิถีพิถันในการเลือกซื้อโดยเด็ดขาด