Home
|
ไลฟ์สไตล์

ทำไมเวลาไม่สบายถึงต้องให้ ‘น้ำเกลือ’?

Featured Image

ไขข้อข้องใจ ทุกครั้งที่ป่วยเกือบทุกครั้งทำไมคุณพยาบาลถึงต้องให้น้ำเกลือกันนะ?

          เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วที่เมื่อถึงคราวป่วยจนต้องหามตัวเข้าโรงพยาบาล หลังเสร็จกิจซักประวัติและให้หมอวินิจฉัยโรค หลังถูกบุรุษพยาบาลเข็นเข้าห้องพัก แม้ทรงห้องจะต่างกันตามฐานะ แต่สิ่งหนึ่งที่ได้เหมือนกันนั่นก็คือ เข็มสวนน้ำเกลือเข้ากระแสเลือด หวังเพื่อจะเป็นพลังงานสู้กับเชื้อโรคต้องเผชิญในยามเจ็บ

ก่อนให้(ความรู้เรื่อง)น้ำเกลือ ต้องรู้จักน้ำเกลือ

          จากความรู้ของคุณหมอที่ไล่หามา การให้น้ำเกลือ เป็นการให้สารน้ำเข้าสู่ร่างกายโดยตรงผ่านทางกระแสเลือด(หลอดเลือดดำ) เพื่อใช้ทดแทนน้ำที่ร่างกายได้เสียไปจากภาวะขาดน้ำ เป็นไข้ อาการท้องเสีย อาเจียน รวมถึงช่วยเติมเต็มน้ำที่หายไปจากการเสียเลือดอีกด้วย จึงไม่แปลกใจที่ผู้ป่วยแทบทุกรายต้องมีสายน้ำเกลืออยู่ข้างเตียง

          ส่วนผสมของน้ำเกลือมีส่วนผสมของน้ำและโซเดียมคลอไรด์(NaCl) โดยสูตรปกติแล้วจะมีเกลือผสมอยู่ 0.9% เนื่องจากเชื่อว่ามีระดับความเข้มข้นเท่ากับเลือดและน้ำมากที่สุด คอยเข้าไปทดแทนน้ำที่ร่างกายเสียไปได้อย่างพอดิบพอดี นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าเมื่อเราได้รับน้ำเกลือเข้าสู่ร่างกายจะทำให้ไม่รู้สึกหิวน้ำ หรืออยากอาหารแต่อย่างใด

น้ำเกลือไม่ได้ให้พลัง จริงๆไม่ต้องให้ก็ได้

          อย่างที่เฉลยไปว่าน้ำเกลือ เป็นแค่น้ำเปล่าผสมเกลือ อาจมีส่วนผสมของน้ำตาลเล็กน้อย นั่นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่การให้น้ำเกลือเฉยๆจะช่วยให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงได้แบบเดียวกับการทานยาตามใบหมอสั่ง

          แต่สิ่งที่หลายคนเชื่อว่าการที่ได้น้ำเกลือเยียวยาร่างกายสักถุง-สองถุง ก็เพียงพอให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงได้เช่นเดียวกับดื่มน้ำหมักพระบิดา สาเหตุก็คงเป็นเพราะการได้อยู่ในระบบการรักษาที่ดีต่างหาก 

          หรือหากสรุปแบบโหดร้ายอีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้าหากเรามีแรงพออ้าปากเคี้ยวข้าวหรือดื่มน้ำได้ล่ะก็…การให้น้ำเกลือก็อาจไม่ใช่เรื่องจำเป็นอีกต่อไป

ติดตามเรื่องราวสุขภาพและเคล็ดลับปลอดโรคต่อได้ที่ iNN Lifestyle

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

ขอบคุณข้อมูลจาก : helloคุณหมอ

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube