ศาลยุติธรรม ยัน ยึดขั้นตอนปฏิบัติการสอบสวนข้อเท็จจริงและวินัย ปมมีคำสั่งย้าย อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค 1 จากเหตุร้องเรียนคดีเกี่ยวกับ ป.ป.ช.
นายพงษ์เดช วานิชกิตติกูล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ชี้แจง กรณีที่ปรากฏข่าวทางสื่อมวลชนช่วงระยะหนึ่งเกี่ยวกับคำสั่งย้าย นายปรเมษฐ์ โตวิวัฒน์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ไปช่วยทำงานชั่วคราว ในตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ภาค 1 สืบเนื่องจากเรื่องที่มีการร้องเรียนกล่าวหาเข้าไปก้าวก่าย หรือแทรกแซงการพิจารณาคดีที่มีรองเลขาธิการ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องกรรมการ ป.ป.ช.และอัยการสูงสุด (นายประหยัด พวงจำปา โจทก์ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจจำเลยที่ 1 น.ส.สุภา ปิยะจิตติ จำเลยที่ 2 นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ จำเลยที่ 3)
กระทั่งปรากฏข่าว อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค 1 ยื่นฟ้องกรรมการ ป.ป.ช. ความผิดดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาฯ และยื่นฟ้องประธานศาลฎีกากล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ระบุว่า สำนักงานศาลยุติธรรมมีคำสั่งวันที่ 25 มี.ค.64 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงดังกล่าว และในวันที่ 26 มี.ค.64 มีหนังสือแจ้งให้นายปรเมษฐ์ ทราบแล้ว
ต่อมาคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ได้รายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริง มีความเห็นว่ามีพฤติการณ์อันส่อว่าเป็นการกระทำความผิดวินัยร้ายแรง และเมื่อมีการสั่งในกรณีเช่นนี้ แล้วให้ประธานศาลฎีกานำเรื่องเข้าขอความเห็นชอบ จาก ก.ต. ในการประชุมนัดแรกนับแต่วันมีคำสั่ง และเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามระเบียบคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ว่าด้วยการกำหนดเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ในการสั่งให้ข้าราชการตุลาการไปช่วยทำงานชั่วคราว ประธานศาลฎีกา จึงได้มีคำสั่งให้นายปรเมษฐ์ ไปช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ตามคำสั่งสำนักงานศาลยุติธรรม ซึ่งคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมในการประชุมครั้งที่ 8/2564 เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2564 มีมติเห็นชอบคำสั่งดังกล่าวแล้ว
ทั้งนี้ การมีคำสั่งให้ข้าราชการตุลาการไปช่วยทำงานชั่วคราว เป็นไปเพื่อความสะดวกในการสอบสวน ซึ่งเป็นเรื่องปกติในทางปฏิบัติของทุกหน่วยงาน และประธานศาลฎีกาได้มีคำสั่งให้ นายวีระพงศ์ สุดาวงศ์ ประธานแผนกคดีผู้บริโภคในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไปช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่ง อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 1 อีกตำแหน่งหนึ่งแล้ว
สำหรับกรณีนี้ในส่วนของนายปรเมษฐ์ ในฐานะผู้ถูกกล่าวหาก็ได้มีหนังสือขอความเป็นธรรม โดยผู้ถูกกล่าวหาระบุว่ายังไม่ทราบว่าถูกร้องเรียนกล่าวหาว่าเข้าไปก้าวก่าย หรือแทรกแซงการพิจารณาคดีในประเด็นและข้อเท็จจริงใด และยังไม่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงตามระเบียบฯ
ซึ่งสำนักงานศาลยุติธรรมได้มีหนังสือตอบผู้ถูกกล่าวหาแล้วว่า คณะกรรมการฯ ได้ให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว ซึ่งมีการกำหนดวันเวลานัดตามที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้กำหนด แต่ผู้ถูกกล่าวหาไม่มาและไม่ปรากฏว่าได้แจ้งเหตุขัดข้อง หรือขอเลื่อนนัดตามกำหนดเวลานัดแต่อย่างใด ประกอบกับคณะกรรมการฯ ได้ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้น โดยสอบปากคำพยานบุคคล และเรียกเอกสารที่เกี่ยวข้องมาเป็นพยานหลักฐานในสำนวนสอบสวน จนเห็นว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอ และการสอบสวนข้อเท็จจริงเสร็จสิ้นแล้วจึงได้สรุปผลการสอบสวนข้อเท็จจริงเสนอความเห็นต่อประธานศาลฎีกา การสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้นของคณะกรรมการฯ จึงเป็นการดำเนินการโดยชอบตามกฎหมายแล้ว
ทั้งนี้ เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ได้กล่าวสรุปขั้นตอนการสอบสวนกรณีนี้ว่า ขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการสอบสวนยังไม่ได้สรุปผล ยังใช้เวลาอีกระยะหนึ่งดำเนินการให้ครบถ้วนทุกขั้นตอน ซึ่งทั้งหมดเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามขั้นตอนการสอบสวนตามกฎหมาย ประกาศ และระเบียบที่เกี่ยวข้อง ส่วนการขอโอนคดีนั้นมีการยื่นเข้ามา แต่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ได้พิจารณายกคำร้องไปแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะต้องพิจารณาสั่งโอนคดี ข้อเท็จจริงจึงมิได้เป็นไปตามที่มีการนำเสนอข่าว
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news