Home
|
อาชญากรรม

ตร. เผย จับม็อบตามยุทธวิธี แค่กระสุนยาง ไม่ใช้กระสุนจริง

Featured Image
ตำรวจ เผย จับม็อบปะทะตำรวจวานนี้ได้ 11 ราย จนท.เจ็บ 13 ราย ยันภาพตำรวจใช้ปืนจ่อหัวผู้ชุมนุมปฏิบัติตามยุทธวิธีแค่กระสุนยาง ไม่ใช้กระสุนจริง

 

พลตำรวจตรี ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า ขณะนี้ตำรวจสามารถควบคุมตัวผู้ชุมนุมจากเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อวันที่ 1 ส.ค.64 ทั้งในพื้นที่กทม. และในจังหวัดนนทบุรีจำนวน 10 ราย ส่วนอีก 1 ราย จับกุมได้ในบริเวณพื้นที่การชุมนุมเนื่องจากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามพรก.ฉุกเฉิน โดยควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไว้ที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 จังหวัดปทุมธานี และที่ห้องควบคุมผู้ต้องหากองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด กรุงเทพมหานคร ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบปากคำผู้ต้องหาและหากการสอบสวนเสร็จสิ้นภายในวันนี้ก็จะดำเนินการฝากขังผู้ต้องหาผ่านระบบ video conference ต่อศาลทันที แต่หากไม่ทันก็จะเลื่อนออกไปเป็นวันพรุ่งนี้ โดยทั้งหมดเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พรบ.โรคติดต่อฯ,พรบ.จราจรทางบก และกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวข้องอีกหลายข้อหาซึ่งแตกต่างกันออกไปตามแล้วแต่กรณี

นอกจากนี้ ในเหตุการณ์ดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 13 นาย ซึ่งส่วนใหญ่ ได้รับบาดเจ็บจากการถูกขว้างปาสิ่งของ และมาจากการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ ส่วนกรณีที่มีภาพของเจ้าหน้าที่กองร้อยควบคุมฝูงชนใช้อาวุธปืนลูกซองจ่อศีรษะผู้ชุมนุมที่กำลังขี่รถจักรยานยนต์บนถนนวิภาวดีรังสิตนั้น ขอชี้แจงว่าเป็นรูปแบบทางยุทธวิธีที่เรียกว่า cover and contact ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ต่างประเทศใช้ เนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าวกลุ่มผู้ชุมนุมกระจายตัวออกจากพื้นที่ และเจ้าหน้าที่เห็นว่าผู้ชุมนุมบางคนอาจเป็นภัยคุกคามหรืออาจเกิดอันตรายต่อเจ้าหน้าที่ได้ เจ้าหน้าที่จึงต้องใช้วิธีการตักเตือนให้ออกจากพื้นที่ เนื่องจากใกล้ช่วงเวลาเคอร์ฟิว โดยอาวุธปืนที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลใช้จะติดสติ๊กเกอร์เป็นสัญลักษณ์ให้เห็นชัดเจนว่ากระสุนที่ใช้เป็นกระสุนยาง อีกทั้งเหตุการณ์ในภาพดังกล่าวเจ้าหน้าที่ไม่ได้ยิงผู้ชุมนุมตามที่ปรากฏในภาพ เพียงแค่ทำการตักเตือนและไล่ให้ออกนอกพื้นที่เท่านั้น

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube