กรมราชทัณฑ์ สั่งยกระดับป้องกันโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน คัดกรองเข้มผู้ต้องขังต่างชาติ
นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยการเตรียมความพร้อมรับมือเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนในเรือนจำและทัณฑสถานทุกแห่ง โดยสั่งกำชับยกระดับการเฝ้าระวังเข้มงวด โดยเฉพาะผู้ต้องขังต่างชาติเข้าใหม่ ที่มาจากพื้นที่ยืนยันพบผู้ติดเชื้อ ได้แก่ แอฟริกาใต้ บอตสวานา มาลาวี เอสวาตินี โมซัมบิก ซิมบับเว เลโซโท นามิเบีย อิตาลีอังกฤษ เดนมาร์ก เยอรมนี เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ สาธารณรัฐเช็ก ฮ่องกง อิสราเอล และออสเตรเลีย หรือประเทศอื่นตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข โดยเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจคัดกรอง และแยกกักผู้ต้องขังกลุ่มดังกล่าวอย่างน้อย 21 วัน ออกจากผู้ต้องขังเข้าใหม่รายอื่น พร้อมตรวจหาเชื้อ COVID-19 ด้วยวิธี RT–PCR ก่อนออกจากห้องแยกกักโรคและตรวจหาเชื้อในกลุ่มเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ทุก ๆ 7-14 วัน หากพบติดเชื้อจะได้รับการรักษาทันที
การคัดกรองญาติที่มาเยี่ยมในเรือนจำและทัณฑสถาน โดยเฉพาะผู้มีประวัติเดินทางกลับจากต่างประเทศ ให้แสดงผลการฉีดวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 อย่างน้อย 2 เข็ม ก่อนเข้าเยี่ยมผู้ต้องขัง พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ไปยังญาติผู้ต้องขังที่กลับจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากพื้นที่ยืนยันพบผู้ติดเชื้อ เพื่อให้ข้อมูลและสร้างความเข้าใจ ถึงความจำเป็นในการป้องกันและควบคุมโรคอย่างเคร่งครัดดังกล่าว,จัดหาหน้ากากอนามัยให้กับเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์และผู้ต้องขังทุกราย พร้อมจัดเตรียมแอลกอฮอล์เจล หรืออ่างล้างมือ เพื่อใช้ประจำจุดในเรือนจำและทัณฑสถานให้เพียงพอต่อการใช้งาน,เร่งรัดการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ต้องขัง และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ทุกคน โดยปัจจุบัน มีผู้ต้องขังในเรือนจำและทัณฑสถานได้รับวัคซีนแล้วครบโดสแล้วจำนวน 260,900 ราย หรือ 92.5% ของจำนวนผู้ต้องขังในเรือนจำและทัณฑสถานทั้งหมด 282,204 รา รวมถึงให้เรือนจำและทัณฑสถาน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกฝ่ายถือปฏิบัติตามข้อสั่งการ ศบค.ยธ.และ ศบค.รท.อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ กรมราชทัณฑ์ ยังคงดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ อย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันและควบคุมการระบาดและเชื่อว่าหากทุกฝ่ายสามารถปฏิบัติตามมาตรการที่วางไว้จะช่วยให้สามารถควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news